Powered By Blogger

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การเปลี่ยนแปลงของ Big C กระทบต่อตลาด Modern Trade

   ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ผู้บริโภคย่อมมีความประหยัดในการจับจ่ายใช้สอยในครัวเรือน การที่สามารถซื้อสินค้าชนิดเดียวกันได้ในราคาถูก ย่อมเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวัง  ร้านค้า ModernTrade เช่น Lotus, คาร์ฟูร์, Big C และ Makro เป็นทางเลือกในการจับจ่ายของผู้บริโภคทุกคน  วันนี้ผมจะขอนำเสนอกรณีของ Big C ซึ่งบางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้น เพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด และการเปลี่ยนแปลงนี้ อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคที่สำคัญก็เป็นได้


ความเป็นมาของ Big C   ก่อนอื่นเรามาดูว่าเค้าเป็นใครกันก่อนนะ
     บิ๊กซี  เกิดจากความคิดของกลุ่มค้าปลีกในเครือเซ็นทรัล เมื่อ พ.ศ.2536 ก่อตั้งขึ้นโดยบริษัท เซ็นทรัล ซูเปอร์สโตร์ จำกัดขึ้นมา  และทำการเปิดสาขาแรกบนถนนแจ้งวัฒนะ ในปี พ.ศ.2537  และเปลี่ยนชื่อเป็น บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ ในปี พ.ศ.2538  แต่ต่อมาเจอวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ.2540 บริษัท Casino Guichard-Perrachon ผู้ประกอบการค้าปลีกอันดับสองของฝรั่งเศส ได้มาเพิ่มทุน และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปี พ.ศ.2542
     โดยความหมายของ Big C คือ

  • Big  หมายถึง พื้นที่ที่มีขนาดใหญ่  พร้อมด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับลูกค้า ครอบคลุมไปถึงความหลากหลายของสินค้าที่บิ๊กซี เลือกมาจำหน่าย โดยบิ๊กซีมีสินค้ามากกว่า 100,000 รายการ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า
  • C  หมายถึง Customer หรือลูกค้าที่ให้การสนับสนุนบิ๊กซีตลอดมา
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของบิ๊กซี
     เมื่อห้างคาร์ฟูร์ได้ประกาศขายกิจการเมื่อช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ.2553  ได้เกิดการประมูลแข่งขันกันเพื่อซื้อห้างคาร์ฟูร์  โดยในขณะนั้นมีผู้ที่สนใจมากมายอาทิเช่น  ปตท.  โลตัส บิ๊กซี เป็นต้น  
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิการยน พ.ศ.2553 Casino Guichard-Perrachon หรือกลุ่มคาสิโน ได้ชนะการประมูลกิจการคาร์ฟูร์ในประเทศไทย ด้วยราคาซื้อขาย 686 ล้านยูโร ส่งผลให้สาขาของบิ๊กซีเพิ่มเป็น 105 สาขา จาก 60 สาขา ในขณะนั้น คิดเป็นมูลค่า 35,500 ล้านบาท


     ในเดือนมกราคม พ.ศ.2554 เกิดการควบรวมและเปลี่ยนห้างคาร์ฟูร์ทุกสาขาให้กลายเป็น บิ๊กซีทั้งหมด  โดยมีการเปลี่ยนรูปแบบห้างร้านแตกต่างกันไป มีตั้งแต่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (ที่เรารู้จักกันดี สาขาดอนจั่น), บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า (ที่มาแทนห้างคาร์ฟูร์) , บิ๊กซี มาร์เก็ต  (ตลาดสด) และบิ๊กซี จัมโบ้


      แบรนด์ที่มาแทนคาร์ฟูร์ คือ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า ซึ่งเป็นการนำเอาจุดเด่นในด้านการคัดสรรสินค้าจากทุกมุมโลก  การบริการที่เป็นเลิศของคาร์ฟูร์ มารวมกับราคาคุณภาพของบิ๊กซี




     บิ๊กซึ จัมโบ้ เป็นรูปโฉมใหม่ล่าสุดของบิ๊กซี  โดยสาขาแรกคือที่สำโรง เป็นการปรับจากคาร์ฟูร์เดิมที่สำโรง  จะเปิดตัวเป็นทางการปลายปีนี้  และอยู่ในระหว่างการปรับบิ๊กซีเดิมที่พัทยาเป็น บิ๊กซี จัมโบ้ สาขา 2 เปิดตัว 18 ส.ค. นี้แล้ว
     บิ๊กซ๊ จัมโบ้เป็นธุรกิจทีคล้ายกับแม็คโคร มีรูปแบบค้าส่ง  จับกลุ่มเป้าหมายร้านค้าผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจค้าส่งทั่วไป


     แต่ก่อนบิ๊กซีมียอดขาย 60,000 ล้านบาท โลตัสมียอดขาย 130,000 ล้านบาท แต่เมื่อรวมกับคาร์ฟูร์ที่มียอดขาย 40,000 ล้านบาท ขนาดของบิ๊กซีขยายขึ้นมาเป็น 100,000 ล้านบาททันที ซึ่งถือว่าสูสีกันแล้วพอสมควร ถึงแม้ว่ายอดขายจะห่างกันอีก 30,000 ล้านบาท


ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในตลาด ModernTrade นี้คือ การเพิ่มยอดขาย  ขยายรูปแบบธุรกิจ  และการแย่งลูกค้าของคู่แข่งมาให้ได้  อันจะทำให้เกิดทางเลือกในการจับจ่ายใช้สอยอย่างเราๆ ในสภาวะเงินเฟ้อ สินค้ามีการปรับราคาขึ้น แต่การแข่งขันนี้ อาจจะทำให้เราได้ประโยชน์  แต่ในแง่ของผู้ถือหุ้นของแต่ละ ModernTrade แล้วคงจะปวดหัวน่าดู.....








     

10 ปัจจัยสร้างความแตกต่าง ของ Starbucks

          
          ปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการดื่มกาแฟ เป็นไปอย่างแพร่หลาย มีร้านกาแฟเกิดขึ้นมากมายทั่วทุกแห่ง  แต่สำหรับร้านกาแฟ ระดับพรีเมี่ยมแล้วละก็ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า  STARBUCKS เป็นร้านกาแฟที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด ด้วยจำนวนร้านค้ากาแฟมากกว่า 16,000 ร้านทั่วโลก

           ซึ่งเริ่มต้นมาจากร้านขนาดเล็ก และเติบโตขึ้นมาตามลำดับ แม้กระทั่งอดีตพนักงานยังสามารถเติบโตจนก้าวขึ้นมาเป็นซีอีโอของสตาร์บัคส์ในเวลาต่อมา  ประเด็นที่ทำให้สตาร์บัคส์เป็นแบรนด์กาแฟและโมเดลธุรกิจที่แตกต่างจากร้านกาแฟอื่นๆ มีด้วยกัน 10 ประเด็น ดังนี้
  1. มีการให้บริการลูกค้าจำนวน 220 รายต่อวันโดยเฉลี่ย
  2. นับจากลูกค้าก้าวเข้าในร้าน การให้บริการจะใช้เวลาภายใน 3 นาที
  3. พนักงานสตาร์บัคส์รู้ความแตกต่างระหว่างคาปูชิโน่กับลาเต้  ซึ่งร้านกาแฟหลายร้านไม่ได้รู้ความแตกต่างเรื่องนี้จริงๆ เพราะการปรุงมีความแตกต่างกัน
  4. ไม่ให้ลูกค้ารอนานถึง 30 นาที
  5. มีส่วนผสมของเครื่องดื่มที่ให้เลือกหลากหลายมากกว่า 87,000 ชนิดของส่วนผสม
  6. มีการอบรมในการปรุงส่วนผสมของเมนูไม่น้อยกว่า 30 ชั่วโมง
  7. การเลือกใช้วัตถุดิบที่เสิร์ฟรายถ้วย
  8. พนักงานที่ทำงานไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จะได้รับการทำประกันสุขภาพ
  9. ลูกค้าสามารถชำระเงินได้ด้วยไอโฟนและแบล็กเบอร์รี่ (ไม่ใช่เอาโทรศัพท์วางจำนำนะ...มันเป็นโปรแกรมพิเศษที่มีในทั้งสองโทรศัพท์ ที่สามารถจ่ายชำระค่ากาแฟได้น่ะ)
  10. ให้บริการฟรีไวไฟ และไม่มีข้อจำกัดในการใช้โน้ตบุ๊คในร้าน
นี่แหละคือ 10 ประการที่ทำให้สตาร์บัคส์แตกต่างจากร้านกาแฟ โดยทั่วไป และทำให้เกิดการบอกต่อของลูกค้า รวมถึงการที่พิถีพิถันในการปรุงกาแฟ แต่ละแก้วให้กับลูกค้า จนทำให้บางครั้งอดไม่ได้ที่จะต้องเหลียวไปดูร้านสตาร์บัคส์ แล้วคิดว่า.....สักแก้ววะ


วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ไม่น่าเชื่อ

พอดีได้อ่านบทความนึง จากหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก  ซึ่งเป็นบทความที่อ่านแล้วแปลกดี มีมุมมองที่น่าคิดตามลองอ่านตามดูนะครับ ยาวหน่อย แต่อยากให้อ่านกันอ่ะ


     ไม่น่าเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  ถูก กกต.  จับแขวนไว้ในงวดแรก  โดยไม่รับรองให้เป็น ส.ส.  แต่ถ้าในที่สุด  ทั้งสองท่านนี้สอบไม่ผ่านจนถูก  กกต.  จับแขวนถาวร คงเป็นเรื่อง ไม่น่าเชื่อ มากขึ้นอีกหลายเท่าหาก  น.ส.ยิ่งลักษณ์  ได้เป็นนายกรัฐมนตรี  ถือว่าเป็นเรื่อง ไม่น่าเชื่อ  ที่เธอสามารถเข้ามาเล่นการเมืองเพียง 40 กว่าวันเท่านั้น  แถมยังได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยอีก
     ไม่น่าเชื่่อว่า อีกอย่างหนึ่งก็คือ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ยังมีฐานะเป็นนางสาวด้วย  นับเป็นนางสาวมี่มาแปลกมาก เพราะเธอมีทั้งสามีและลูก

     ไม่น่าเชื่อว่า  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  สมัยที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นมีที่นั่งอยู่ในสภาเกือบ 400 เสียง  อีกทั้งยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่ครบเครื่องด้วย  เช่น มาจากเตรียมทหาร  มีความรู้ระดับดอกเตอร์ เป็นมหาเศรษฐีอีกด้วย....แต่ยังรักษาตำแหน่งไว้ไม่อยู่
     ไม่น่าเชื่อว่า คนที่มีชื่อว่าทักษิณอันแปลว่าทิศใต้  แต่ไม่สามารถชนะใจคนปักษ์ใต้ได้

     ไม่น่าเชื่อว่า  สมาชิกคนเสื้อแดงส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคอีสานและภาคเหนือ  แต่แกนนำชั้นหัวแถวกลับเป็นคนใต้  ประกอบด้วย วีระ  มุสิกพงษ์  จตุพร  พรหมพันธุ์  และณัฐวุฒิ  สายเกื้อ เท่านั้นยังไม่พอ  ยังมี นายยงยุทธ  วิชัยดิษฐ  หัวหน้าพรรคเพื่อไทยพวกเดียวกับเสื้อแดง ก็เป็นคนใต้เช่นกัน


     ไม่น่าเชื่อว่า  แกนนำเสื้อแดงที่เป็นคนปักษ์ใต้มีความกล้าหาญทุกอย่าง คือ กล้าพูด กล้าเป็นผู้นำเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล  แต่ไม่กล้ากลับบ้านเกิดเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง
     ไม่น่าเชื่อว่า  พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ จตุพร พรหมพันธุ์  ผู้เหมือนเป็นศัตรูต่อกัน  แต่มีชื่อเล่นว่า ตู่ เหมือนกัน จนนักข่าวต้องตั้งชื่อให้จตุพรว่า ตุ๊ดตู่ เพื่อกันการสับสน


     ไม่น่าเชื่อว่า  คนที่กำกับดูแลพรรคการเมืองใหญ่ของไทยที่กำลังจะได้เป็นรัฐบาล กำลังเป็นผู้ต้องหาหนีการถูกจำคุกไปจากเมืองไทย  (คนที่คุณก็รู้ว่าใคร....)
     ไม่น่าเชื่อว่า  คนที่อยู่ในคุกก็ยังมีสิทธิสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อได้
     ไม่น่าเชื่อว่า  แกนนำคนเสื้อแดงบางคนทั้งๆ ที่มีคดีติดตัวเคยถูกจับไปอยู่ในคุก และบางคนยังอยู่ในนั้น แต่มาถึงวันนี้ กำลังจะได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และบางคนจะได้เป็นรัฐมนตรี


     ไม่น่าเชื่อว่า  การเลือกตั้งครั้งนี้ หัวหน้าใหญ่ของ 2 พรรคใหญ่ ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชายมีหน้าตาหล่อเหลา ต้องมาแข่งกับอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงหน้าตาสวย  อิอิ นอกจากแข่งเกี่ยวกับการเมืองแล้วยังแข่งหล่อแข่งสวยกันด้วย
     ไม่น่าเชื่อว่า  ขณะที่แต่ละพรรคหาเสียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้รับชัยชนะมีที่นั่งในสภามากที่สุด  แต่มีอยู่พรรคหนึ่งหาเสียงแหวกแนวไม่เหมือนแห่งใดในโลก  คือ ให้คนไปใช้สิทธิโหวตโน...ไปใช้สิทธิแต่ห้ามเลือกคนใดคนหนึ่งและพรรคใดพรรคหนึ่ง
     
     ไม่น่าเชื่อว่า  เมื่อไม่กี่ปีมานี้กลุ่มเสื้อเหลืองมีผุ้คนนิยมชมชอบกันมาก  เวลาผ่านไม่กี่ปี  ความนิยมกลับตกต่ำอย่างน่าใจหาย
     ไม่น่าเชื่อว่า  พรรคการเมืองใหม่ซึ่งก่อกำเนิดมาจากกลุ่มเสื้อเหลืองได้คะแนนพรรคทั่วประเทศเพียงสี่หมื่นกว่าคะแนนเท่านั้น จากคนที่ไปใช้สิทธิร่วม 30 ล้านคน
     ไม่น่าเชื่อว่า  พรรครักประเทศไทยของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทั้งๆ ที่ตั้งพรรคขึ้นมาไม่ถึงปี  แต่สามารถได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อถึง  4 คน  เฉพาะที่กรุงเทพ  มีคนเลือกพรรคนี้มากกว่าพรรคชาติไทยพัฒนาของ นายบรรหาร ซะหลายเท่าตัว
     
     ย้อนกลับไปอดีตบ้าง


    ไม่น่าเชื่อว่า  นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งหลุดวงโคจรของการเมืองไปแล้ว  แต่อยู่ๆ ก็กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี
     ไม่น่าเชื่อว่า  นายสมัครหลุดพ้นจากตำแหน่งนายกฯ เพราะทำกับข้าวผ่านจอทีวี
     ไม่น่าเชื่อว่า  ในสมัยที่นายสมัครเป็นนายกฯ มีคนภายนอกเข้าไปปักดำทำนาและจับเหี้ยมาฆ่ากันในบริเวณทำเนียบรัฐบาล
     ไม่น่าเชื่อว่า  นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์  มีตำแหน่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของไทย  แต่คงเป็นคนเดียวในโลกที่ขณะดำรงตำแหน่งไม่ได้เข้าไปนั่งทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลแม้แต่วันเดียว


     ไม่น่าเชื่อว่า  ผู้นำเกือบทุกคนที่ถูกข้อหาผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง และปิดสนามบิน ยังสามารถเดินเหินอยู่นอกคุกได้ อย่างสบายใจเฉิบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
     ไม่น่าเชื่อว่า  การจัดตั้งรัฐบาลของไทยครั้งที่แล้ว  ถูกกล่าวหาว่าจัดตั้งในค่ายทหาร  แต่พอมาถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะคลอดเร็วๆ นี้  ถูกกล่าวหาเช่นเดียวกันว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกจัดตั้งมาจากดูไบ
     ไม่น่าเชื่อว่า  รัฐสภาของไทยไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นที่ประชุมสภาเท่านั้น  แต่มีไว้ให้เป็นที่หลบภัยได้ด้วย เพราะใครก็ได้ถ้าได้เป็น ส.ส.ก็จะมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง


สุดท้ายของไม่น่าเชื่อก็คือ  เมืองไทยมีเรื่องไม่น่าเชื่อดังกล่าวเกิดขึ้นได้ยังไง


"และบทความทั้งหมดนี้เกิดจากมุมมองของผู้เขียน ซึ่งหากเรามีมุมมองที่กว้างและเป็นคนช่างสังเกตุ จะทำให้เราค้นพบอะไรอีกเยอะ ที่จริงๆ แล้ว มันก็อยู่และเกิดขึ้น รอบๆ ตัวเรานี่แหละ!!!"

Silence of Love : ไทยประกันชีวิต

วันนี้  ขอหยิบยกเอาภาพยนตร์โฆษณา ที่ใครๆ ดูแล้วก็ต้องซึ้งไปตาม ๆ กัน  
ใช่แล้วครับ  โฆษณาของ ไทยประกันชีวิต เจ้าเก่า ผู้ซึ่งเรียกน้ำตาจากใครๆ หลายคนที่ได้ดูโฆษณา ชิ้นนี้ไปแล้ว  วันนี้เราลองมาดูเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าโฆษณา ชิ้นนี้กันนะครับ


     โฆษณาชิ้นนี้ มีชื่อว่า "Silence of Love"  สามารถสร้างแชร์ ในเฟซบุ๊ก แบบถล่มทลาย เช่นเดียวกันกับโฆษณาตัวอื่น ที่ไทยประกันชีวิตเคยทำมาแล้ว  ซึ่งในภาษาการตลาด เราเรียกวิธีการสื่อสารการตลาดตัวนี้ว่าใช้วิธีแบบ Viral Content Marketing (ต้องการให้เกิดการพูดปากต่อปาก จนเป็นที่สนใจในสังคม)  และหลักการตลาด Emotional Marketing  หรือเรียกง่ายๆ ก็คือ การตลาดที่เล่นกับอารมณ์ของผู้บริโภคนั่นเอง
     ครับซึ่งทันทีที่ โฆษณาชิ้นนี้ได้เปิดตัวใน Social Network ทั้งในส่วนของ Youtube และ facebook แล้ว (ก่อนนำฉายในทีวีซะอีก โดยเริ่มออนแอร์ในทีวีเมื่อ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา) ก็มีคนดูทะลุไป 130,000 View ภายใน 2 วัน (ในขณะที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้  รู้สึกว่าจะ เป็น 1,008,348 View เข้าไปแล้วครับ 

     โฆษณาชุด "Silence of Love"  หรือ "พ่อเป็นใบ้"  จัดทำโดย บริษัท โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ แอดเวอร์ไทซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด [ชื่อยาวดีจริงๆ....]  ซึ่งเป็นเจ้าเดิมที่เคยทำโฆษณาให้กับ ไทยประกันชีวิต  โดยคุณ กรณ์  เทพินทราภิรักษ์  ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ เป็นผู้นำทีม  ซึ่งได้บอกถึงความในใจในการนำเสนอโฆษณาชุดนี้  ดังนี้
     "ต้องการให้นึกถึงพ่อ  ย้ำถึงความเป็นพ่อเพื่อลูก  ประกอบกับปีนี้เป็นปีของพ่อ  ถือเป็นการเทิดทูน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปด้วย"


     โฆษณาชุดนี้จัดทำภายใต้แนวคิด CARE and TRUSTWORTHY  คือการดูแลและเอาใจใส่ ที่บริษัทไทยประกันชีวิต  ได้ดูแลคนไทยมายาวนานถึง 70 ปี  จุดยืนของแบรนด์ที่ชัดเจนคือ "ดูแลชีวิตคนไทย"
     ที่มาของโฆษณาชิ้นนี้  เกิดจากฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับหนึ่ง ที่เป็นเรื่องราวขีวิตจริงของหญิงสาวในประเทศจีนที่มีพ่อทำอาชีพขายเต้าหู้  แต่เป็นใบ้  เธอรู้สึกไม่พอใจในความพิการของพ่อและอยากได้พ่อที่มีร่างกายปรกติ
     แล้ววันหนึ่งเธอได้รับอุบัติเหตุจนบาดเจ็บสาหัส  พ่อผู้พิการของเธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะช่วยชีวิตเธอ  เธอจึงรู้ว่าพ่อผู้บกพร่องทางร่างการแต่สมบูรณ์แบบในความเป็นพ่อ  และพ่อของเธอคนนี้ที่รักลูกอย่างเธอจนสุดหัวใจ
     โฆษณาชุดนี้  เป็นการมุ่งเน้นสื่อถึงการดูแล "พ่อ"  เพราะผู้เป็นพ่อคือเสาหลักของทุกครอบครัว  พ่อคือผู้ที่เหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเราเสมอมา  พ่อ  เปรียบเสมือนพ่อพระในบ้าน ที่เป็นคนสำคัญของสถาบันครอบครัว
    
วันนี้  คุณ  "ดูแลคนที่ดูแลคุณ"  แล้วหรือยัง.....รักพ่อกับแม่เสมอครับ....ฮือฮือ!!!!!




     



วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่ม

วันนี้ใครที่มีทองคำอยู่กับตัว คงร้อง ว้าว!!!! กันยกใหญ่ เพราะว่าวันนี้ ราคาทองคำพุ่งสูงสุดอีกครั้งนึง ขึ้นไปจนอยู่ที่ระดับ 23,450 บาท (ทองคำแท่ง) และ 23,850 บาท (สำหรับทองคำรูปพรรณ) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีการคาดการณ์กันว่าจุดสูงสุดน่าจะอยู่ที่ 23,000 บาท จนล่าสุดขณะนี้ ทางด้านนักวิเคราะห์ต่าง ๆ ได้มาคาดการณ์ว่าราคาทองคำ อาจจะไปจนถึงราคาที่ 25,000 บาทกันเลยทีเดียว   เอ้าก็ว่ากันไป (ผมเองก็แอบดีใจนิดหน่อยเพราะสอยมาตอนประมาณซัก 18,000 - 19,000 นี่แหละ เพราะตอนนั้นไม่เชื่อว่ามันจะไปถึง 23,000 บาท)  ทีนี้เราลองมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับการผันผวนของราคาทองคำครั้งนี้


     หากใครได้ติดตามข่าว  หรือได้ยินมาบ้างก็ได้นะ...  ว่าเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในแถบยุโรปประสบปัญหาขาดสภาพคล่องกัน ถ้วนหน้า อาทิเช่น ประเทศกรีซ ซึ่งล่าสุดก็ได้มีการประกาศกู้เงินจาก IMF เพิ่มเติมไปเรียบร้อย พร้อมทั้งมีการทำแผนในการขอประนอมหนี้บางส่วน ที่ขณะนี้ไม่สามารถจะจ่ายชำระหนี้ให้กับทาง IMF ได้ตามสัญญา  จนทำให้เกิดความปั่นป่วนในประเทศเป็นอย่างมาก
     จนล่าสุด แม้แต่ประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา (ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุ Hamburger Crisis ที่ทำให้เกิดวิกฤตการเงินกันทั่วโลก จากหนี้เสียของอสังหาริมทรัพย์)  ยังประสบกับปัญหาหนี้สาธารณะท่วมท้น จนต้องขออนุมัติสภาครองเกส (สภาสูงสุดของอเมริกา) ในการขออนุมัติทำการกู้ยืมเงินเพิ่มเติม เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาหนี้เสียต่างๆ ภายในประเทศ  ข่าวนี้ทำให้เกิดความกังวลกันทั่วโลกว่าจะส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกอาจมีการชะลอตัว รวมถึงอาจก่อให้เกิดความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะในตัวของสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ


     ความกังวลดังกล่าว มีผลมาจากปัจจัยดังนี้

  • สหรัฐมีความเสี่ยงถูกลดเครดิต (ประเทศมหาอำนาจ เชียวนะนั่นน่ะ)
  • เงินเหรียญสหรัฐด้อยค่าลง  (เงินตราที่ได้ชื่อว่ามีการแลกเปลี่ยนกันมากที่สุดในโลก มีค่าลดลง)
  • กองทุนต่างชาติเข้าไปเก็งกำไรทองคำ (ทุนนิยม อาละวาด)  
ทำให้ราคาในตลาดโลกและทองคำในประเทศพุ่งพรวดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันนี้ โดยภายในวันเดียวขึ้นไปถึง 550 บาท ปรับขึ้นวันเดียวถึง 4 ครั้งด้วยกัน  ด้วยความเชื่อที่ว่าทองคำเป็นทรัพย์สินที่มีความปลอดภัยสูงที่สุด ยามที่สถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดี


อย่างไรก็ดี....พึงระวังความโลภไว้บ้าง  เพราะพลาดท่าขึ้นมาจะแย่เอากันเลยทีเดียว พอใจในสิ่งที่ตนมีเถิด....ว่าแล้วถ้ามันลงมาซักแถวๆ 20,000 ต้องไปซื้อมาเก็บบ้าง  เพราะเราคงไม่มีโอกาสที่จะเห็นทองคำในราคา 15,000 บาท แน่แน่เลย.....



10 แบรนด์ที่จะหายจากโลกไป ภาค2

กลับมาพบกันอีกครั้ง  หลังจากที่พักผ่อนไป 2 วันทำการ (ทำภาระกิจเพื่อชาติ..ร่วมกันจนข้าพเจ้าไม่สามารถจะพิมพ์คอมฯ ได้อย่างสะดวกนัก...ปวดเมื่อยไปตามๆ กัน)  อย่างไรซะ นี้คือ หนึ่งในความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจ ของพวกเราชาวบัญชี ศรีพัฒน์ฯ  เอาละ โม้มาพอสมควร เข้าเรื่องกันเลยนะ คราวที่แล้วนำเสนอไปแล้ว 3 แบรนด์ด้วยกัน คือ Sony Pictures, A&W, Saab นี่คือแบรนด์ที่เหลืออีก 7 แบรนด์ที่จะนำเสนอ ดังนี้ครับ

4. American Apparel
     เป็นบริษัท เสื้อผ้าฮิบๆ ของอเมริกัน ในอดีตเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่พอสมควร จากร้านเพียง 3 แห่งกับยอดขาย $82 ล้านในปี 2003 พอถึงปี 2008 มี 260 ร้าน ทำยอดขายเป็น $545 ล้าน  แต่ปรากฏว่าเมื่อเทียบกับร้านเสื้อผ้าอื่นๆ แล้วกลับสู้ไม่ได้ เนื่องจากเจอต้นทุนการผลิต (ผ้าฝ้าย) ที่เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้ประสบปัญหา จนแทบล้มละลายเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ และเชื่อว่าคงจะไม่รอดอย่างแน่นอน

5. Soap Opera Digest
     ชื่อเหมือน รีดเดอร์ ไดเจส ไหม  ใช่แล้ว มันคือชื่อของนิตยสารเกี่ยวกับละครของอเมริกา  สาเหตุของความล้มเหลวของนิตยสารนี้คือ  การประกาศหยุดฉายของ Soap Opera (ละครชื่อดังของอเมริกา) และพัฒนาการของอินเทอร์เน็ตจนทำให้บรรดาแฟนละครสามารถติดต่อข่าวสาร ความเคลื่อนไหวและเรื่องย่อของละครได้บนเน็ต ไม่จำเป็นต้องซื้อนิตยสารอ่านอีกต่อไป

6. ห้างสรรพสินค้า Sears
     เป็นห้างสรรพสินค้าที่ดังมากในอดีตของอเมริกา  ต่อมาได้มีรูปแบบการค้าปลีกอื่นๆ เช่น Wal-Mart ที่เกิดมาใหม่ ทำให้ผลประกอบการแย่ลงเรื่อยๆ จนปี 2005 มีการควบรวมกับ Kmart ที่เป็นอีกหนึ่งธุรกิจค้าปลีกที่ดังมากเช่นกัน (ในอดีต)  แต่เมื่อเอาแย่กับแย่มารวมกัน ผลที่ได้ก็คือ....แย่เข้าไปใหญ่
     ปัจจุบัน Sears ขาดทุนสุทธิ $170 ล้าน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นตกลงถึง 55% ทางเลือกที่เหลือก็คือยุบให้เหลือแค่บริษัทเดียวก็พอ ซึ่งแนวโน้มก็คือยุบ Sears แล้วเก็บ Kmart ที่ดีกว่าไว้นั่นเอง

7. Sony Ericsson
     ครั้งนึง เคยทำให้รู้สึกว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัว และน่ากลัวสำหรับคู่แข่งรายอื่นๆ และประสบความสำเร็จมากมายในอดีต แต่เมื่อเจอกับคู่แข่งอย่าง Apple,RIM (Blackberry), HTC และสมาร์ทโฟนอื่นๆ ทำให้ Sony Ericsson เซไม่เป็นท่าอยู่เช่นกัน
     ยอดขายตกลงจาก 97 ล้านเครื่องในปี 2008 เหลือเพียง 43 ล้านเครื่องเมื่อปีที่ผ่านมา ที่สำคัญ Sony Ericsson ใช้ระบบปฏิบัติการ Symbian ของ Nokia ซึ่งทาง Nokia เองก็จะเลิกใช้แล้ว คาดกันว่ายอดขายจะค่อยๆ ตกลงทุกไตรมาส และปัจจุบันได้เริ่มประกาศลดพนักงานแล้ว

8. Kellog's Corn Pops
     อาหารเช้าแบบฝรั่ง ที่เป็นเหมือนข้าวโพดกระป๋อง เป็นความภาคภูมิใจหนึ่งของ Kellog's แต่สภาวะแวดล้อมในธุรกิจ Cereal (อาหารเช้าสำเร็จรูปที่ใช้นมราด แล้วตักเข้าปาก นั่นแหละครับ) มีการเปลี่ยนแปลงไป  ทำให้สินค้าใดที่ไม่ได้เน้น "เพื่อสุขภาพ" จะไปไม่รอด
     ยอดขายตกลงมา 18% ในปีที่ผ่านมา ต้นทุนวัตถุดิบ (ข้าวโพด) แพงขึ้น มีส่วนผสมที่ไม่เอื้อต่อบรรดาผู้รักสุขภาพทั้งหลายตัดสินใจซื้อ  ซึ่งคาดว่า Kellog's คงตัดจำหน่ายไปในที่สุด

9. MySpace
     เคยเป็นอันดับหนึ่งของ Social Network โลก เมื่อปี 2005 ทาง News Corp ได้ซื้อ MySpace ไปด้วยราคา $580 ล้าน แต่แล้ว Facebook ก็มา ไม่ต้องเดาก็รู้นะครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นในธุรกิจของ Social Network
     ปัจจุบัน MySpace มีสมาชิกไม่ถึง 20 ล้านคนในอเมริกา และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ และต้นปีที่ผ่านมาก็ได้มีการประกาศขายกิจการไป  แต่ก็ไม่มีใครสนใจซื้อจริงจัง  จนล่าสุดมีข่าวลือว่ามีผู้สนใจซื้อ ในราคา $100 ล้าน แต่ก็ไม่ใช้แบรนด์ MySpace อีกต่อไป  แต่จะใช้ฐานข้อมูลสมาชิกที่มีอยู่บน MySpace ไปทำอย่างอื่น (แล้วถ้าอย่างงี้ ในอนาคตฐานข้อมูลของเราๆ ท่านๆ ที่ใช้ Facebook กันอยู่จะมีความปลอดภัยอีกไหม เป็นสิ่งที่น่าถามอย่างยิ่ง) 

10. สุดท้ายและท้ายสุด อาจจะไม่สามารถรอดไปได้ หากยังไม่ปรับปรุง นั่นก็คือ Nokia
     ท่ามกลางสมรภูมิรบ ของสมาร์ทโฟน Nokia ยังถือว่าตามหลังคู่แข่งอยู่หลายขุม  แม้ว่าทางบริษัทเองจะประกาศว่ามีการร่วมมือกับ Microsoft ในการพัฒนาระบบปฏิบัติการ Windows 7 บนมือถือ Nokia แต่ในขณะเดียวกัน ระบบปฏิบัติการอย่าง Andriod (แอนดรอยด์)  และระบบปฏิบัติการของ Apple ก็ทำตลาดได้อย่างยิ่งใหญ่ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคไปอย่างมาก  จนทำให้ยอดขายของ Nokia ลดต่ำลงเป็นอย่างมาก ทำให้ต้องจับตามองการพลิกฟื้นของ Nokia ในการที่นำเอาระบบปฏิบัติการ Windows 7 มาใช้แทน Symbian
     ทางออกของ Nokia ถ้าเกิดความพยายามพลิกฟื้น แบรนด์ครั้งนี้ไม่สำเร็จ คือ การเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมาซื้อ  ที่คาดเดากันในแวดวงนี้ก็คือ HTC ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ผลิตมือถือใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก หรือยักษ์ใหญ่อย่าง Micorsoft ก็สนใจในธุรกิจโทรคมนาคมมากขึ้น หลังจากมีการซื้อ Skype (การติดต่อสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เนตโดยสามารถเห็นหน้าพูดคุยกันได้เลย) หรือแม้กระทั่งสองยักษ์ใหญ่แห่งดินแดนซีรี่ย์สุดฮิต อย่าง Samsung และ LG ก็สนใจ Nokia ครับ
     ถ้าสุดท้าย Nokia มีคนไปซื้อและเปลี่ยนแบรนด์ไปจริงๆ ก็จะกลายเป็นตำนานหนึ่งของธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสุดๆ แล้วมาล้มเหลว (แต่บอกตามตรงว่าแอบเอาใจช่วย Nokia อยู่)

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์การตลาดต่างๆ ที่ได้วิเคราะห์ไว้ แล้วผมได้นำมานำเสนอต่ออีกทีนึง  แต่ประเด็นที่อยากจะสื่อให้เห็นก็คือว่า "การพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญ  จงอย่าหยุดพัฒนาตนเอง เพราะเมื่อเราหยุดพัฒนาตนเองแล้ว เราจะกลายเป็นผู้ล้าหลังทันที" และ ผู้ที่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และปรับตัวเข้ากับมันได้ จะเป็นผู้ที่อยู่รอดต่อไปในสังคม เหมือนกับ เรื่อง "Who Move My Cheese" ที่ผมเคยได้นำเสนอกันไป เมื่อ กันยายน ปีก่อน ใครจะพอจำได้บ้างหนอ....เจอกันใหม่บทความหน้าครับ

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การบัญชีแบบลีน (Lean Accounting)

สวัสดีครับ  ตามสัญญาที่ให้ไว้  หลังจากที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Lean Management มาบ้างแล้วจากบทความก่อนที่ได้นำเสนอไป  วันนี้จะขอนำเสนอ  "การบัญชีแบบลีน  (Lean Accounting)"


ความหมายของการบัญชีแบบลีน
       การบัญชีแบบลีนเป็นการทำบัญชีตามหลักแนวคิดของลีน   ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบัญชีต้นทุน  โดยการเปลี่ยนจากการบัญชีต้นทุนแบบเดิมเป็นแนวคิดของลีน  เพื่อนำระบบบัญชีไปใช้กับระบบการจัดการและการผลิตตามแนวคิดของลีนอย่างถูกต้องและเหมาะสม
       โดยจะต้องเข้าใจแนวคิดแบบลีนก่อน  และต้องปรับปรุงการปฏิบัติงานทางบัญชีให้ทันกับการให้ผลิตและการให้บริการ  ซึ่งการใช้วิธีต้นทุนแบบเดิมที่ใช้ในการวัดผลนั้นมี ข้อบกพร่อง  3 ประการคือ
  1. ระยะเวลาในการออกรายงานซึ่งออกรายงานทุกๆ สิ้นเดือนนั้นช้าเกินไป
  2. รูปแบบของรายงานเป็นรูปแบบรายงานทางการเงิน ไม่เหมาะกับการนำไปใช้ เพื่อปรับปรุง       ในระดับย่อย
  3. รูปแบบรายงานค่อนข้างซับซ้อน เข้าใจยาก
หลักการของการบัญชีแบบลีน  มีหลักการและวิสัยทัศน์ที่สำคัญ ดังนี้
  1. เพื่อที่จะช่วยให้เกิดความถูกต้อง  ทันเวลา และเข้าใจในข้อมูลการดำเนินงานของระบบการผลิตแบบลีนที่องค์กรนำมาใช้และเพื่อการตัดสินใจในเรื่องอื่นๆ   เช่น  กระแสเงินสด  ความสามารถในการทำกำไร  การเติบโตขององค์กร  ความพึงพอใจของลูกค้า  เป็นต้น
  2. การใช้เครื่องมือของแนวคิดแบบลีนมาช่วยลดการสูญเสียขององค์กรจากการกระทำที่ไม่เกิดคุณค่าต่อสินค้าและบริการ  ในขณะที่ยังคงควบคุมการดำเนินงานด้านการเงินอยู่
  3. สนับสนุนและผลักดันให้ระบบลีนและระบบการบัญชีแบบลีนเข้าไปมีส่วนในการพัฒนาการปฏิบัติงานภายในองค์กร
หลักการสำคัญ ในการปฏิบัติ มี 5 ประการดังนี้
  1. ลีนและการบัญชีธุรกิจอย่างง่าย
          นำแนวความคิดลีน มาประยุกต์ใช้ในงานทางด้านบัญชี  เพื่อลดการความสูญเสียในกระบวนการปฏิบัติงานทางบัญชี  การรายงานและวิธีการทางการบัญชีอื่นๆ ขององค์กร  โดยอาจใช้เครื่องมือ  แผนที่กระแสคุณค่า การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องแบบลีนและแนวทางการปรับปรุงด้วยวงจรคุณภาพ PDCA

     2.  กระบวนการทางบัญชีช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่ลีน
         รายงานและวิธีการทางการบัญชีแบบลีน เกิดขึ้นได้ด้วยการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Flow) ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ลดระยะเวลาในการปฏิบัติงาน รวมถึงความซ้ำซ้อนต่างๆ อันเกิดมาจากความเคยชินในการปฏิบัติงานของเราเอง

     3.  การสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจนและทันเวลา
         นอกจากการปรับปรุงกระบวนการทำงานแล้ว  การสื่อสารกับผู้ร่วมงานที่เกี่ยวข้องในแผนก และองค์กร ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ การกระตุ้นให้เกิดการมีความคิด  รับผิดชอบ  และมีความคิดสร้างสรรค์ ที่ไม่ได้เกิดจากการบังคับ  แต่เกิดจากการเปิดกว้างที่สนับสนุนให้เกิดการบริหารด้วยตนเอง  จากความเชื่อมั่นในศักยภาพของพนักงาน ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการบริหารจัดการแบบลีน   เพราะหากการ
สื่อสาร ดีแล้ว การทำงานย่อมไม่ติดขัดเป็นธรรมดา”

     4.  การวางแผนตลาด การดำเนินงาน และการเงิน
         การบัญชีแบบลีน  จะช่วยส่งผลให้ระบบรายงานทางการเงินต่างๆ รวดเร็วมากยิ่งขึ้น  ทำให้ผู้บริหารสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการตัดสินใจ กำหนดนโยบาย รวมถึงการวางแผน
งบประมาณต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว

     5.  การควบคุมภายในทางการบัญชีที่ดี
         การปรับปรุงกระบวนการทำงาน  (Flow)  ก่อให้เกิดการมองภาพเห็นถึงระบบงานต่าง ๆ รวมถึงเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน  ทำให้ง่ายต่อการมองเห็นช่องว่างที่เกิดขึ้น อันจะส่งผลต่อการกำหนดขั้นตอนการควบคุมภายในที่ดีและมีประสิทธิภาพ  ลดความเสี่ยงในความผิดพลาดในการปฏิบัติงานที่อาจจะไม่ถูกต้องตามหลักการควบคุมภายในที่ดีได้


โดยสรุปแล้ว  “การบัญชีแบบลีน”  เป็นการค้นหา วิธีการในการลดขั้นตอนต่างๆ ในการทำงานด้านบัญชีลง  ไม่ว่าจะเป็นวิธีการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Flow)  การปรับปรุงการสื่อสารข้อมูลกับผู้ร่วมงานที่เกี่ยวข้องให้มีความชัดเจนเข้าใจง่าย ไม่เสียเวลา   ทำให้ง่ายและก่อให้เกิดความรวดเร็วในการวิเคราะห์รายการทางบัญชี  นำไปสู่การบันทึกบัญชีที่ถูกต้อง  และการออกงบการเงินที่ทันต่อความต้องการของผู้บริหารต่อไป......

อันนี้ขำ ๆ เอามาฝากให้ดูเล่น
























10 แบรนด์ที่จะหายจากโลกไป

บทความนี้  จะขอนำเสนอเกี่ยวกับ ยี่ห้อของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่อาจจะสูญหายไปในปีหน้า
โดยอ้างอิงมาจากนิตยสารเล่มนึง ชื่อ Business Insider ซึ่งมีการทำนายว่า ในปีหน้าจะมีแบรนด์ใดที่สูญหายไปจากโลกนี้  ลองดูนะครับว่าจะมีอะไรบ้าง และจะมีที่เรารู้จักกันดีอยู่บ้างไหม

     1.  Sony Pictures  
          ครับ ใช่แล้ว นี่คือบริษัทหนังบริษัทหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร Sony  ในอดีต Sony ได้ไปซื้อบริษัท Columbia Tri Star  ซึ่งล่าสุดนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทนี้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่   รายได้ของเครือ Sony ทั้งหมดลดลง 15% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว  ธุรกิจเกมส์ในอดีตที่ทำรายได้ให้กับ Sony อย่างมหาศาล ก็เจอคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างเช่น Nintendo และ Microsoft    ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ตามผู้นำอย่าง Apple อยู่หลายขุม  ทางออกหนึ่งสำหรับ Sony  คือการขาย Sony Pictures ออกไป เพื่อนำรายได้กลับสู่บริษัทเพื่อพลิกฟื้น Sony ทั้งเครือ


     2.  A&W 
          เป็นหนึ่งในร้านอาหารเฟรนไชส์ ซึ่งทุกคนอาจจะเคยได้ลิ้มลอง รสชาดของรูทเบียร์ของเค้า  A&W เป็นส่วนหนึ่งของ Yumi ที่มีธุรกิจร้านอาหารดังๆ หลายแบรนด์  ซึ่ง Yumi เองได้ประกาศขาย A&W มาตั้งแต่ต้นปีและยังหาคนซื้อไม่ได้   เนื่องจาก A&W มีขนาดและจำนวนที่เล็กเมื่อเทียบกับแบรนด์อาหารจานด่วนอื่นๆ  ปัจจุบัน A&W มีร้านในอเมริกาอยู่  322 ร้าน และในต่างประเทศอีก 317 ร้าน  เมื่อเทียบกับอีกแบรนด์ของ Yumi อย่าง KFC ที่มีมากกว่า 5,000 ร้านในอเมริกา  และมากกว่า 10,000 ร้านทั่วโลกแล้ว คงต้องบอกว่าไม่สามารถเทียบกันได้  เป็นที่คาดการณ์ได้ว่าถ้า Yumi ไม่สามารถหาคนซื้อ A&W ได้สุดท้ายอาจจะต้องปิดแบรนด์นี้ไป  ซึ่งจะทำให้ไม่ได้ลิ้มลองรสรูทเบียร์ ของเค้าอีกแล้ว


     3.  Saab
          เป็นยี่ห้อของรถยนต์สวีเดนที่เคยดังมาพักหนึ่ง  แต่เนื่องจากการกำหนดตำแหน่งทางการตลาดของ Saab ที่ชนกับผู้ผลิตค่ายยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างชัดเจน  และไม่สามารถสร้างความแตกต่างที่ชัดเจนจากผู้ผลิตค่ายยักษ์ใหญ่อื่นๆ  ทำให้  Saab  ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
          ในอดีตที่รุ่งเรือง  GM ได้เข้าไปซื้อ Saab แต่หลังจากเริ่มประสบปัญหาก็พยายามขายและปล่อยให้แบรนด์นี้ตายไป จนในที่สุด ก็ถูกซื้อไปโดย Spyker ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในระดับบน
           แต่ในปีที่แล้ว มีปัญหา ขายรถได้เพียง 32,000 คันทั่วโลก และ Spyker ก็เริ่มประสบปัญหาทางการเงิน จนต้องพึ่งบริษัทจากจีนมาถือหุ้นใน Saab ซึ่งไม่ได้สำเร็จไปด้วยดี ทั้งยอดขายประมาณว่าจะต่ำ ไม่ถึง 50,000 คันทั่วโลก  จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าคุ้มหรือไม่ที่จะให้แบรนด์นี้อยู่ต่อไป


สำหรับวันนี้ขอนำเสนอเพียง 3 แบรนด์ก่อน  โปรดติดตามต่อ อีก 7 แบรนด์ นะครับ มีบางยี่ห้อที่ทุกคนเห็นแล้วจะต้องอึ้งและต้องคิดตามครับ ว่าจะเป็นจริงได้รึเปล่า