กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากที่พักผ่อนไป 2 วันทำการ (ทำภาระกิจเพื่อชาติ..ร่วมกันจนข้าพเจ้าไม่สามารถจะพิมพ์คอมฯ ได้อย่างสะดวกนัก...ปวดเมื่อยไปตามๆ กัน) อย่างไรซะ นี้คือ หนึ่งในความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจ ของพวกเราชาวบัญชี ศรีพัฒน์ฯ เอาละ โม้มาพอสมควร เข้าเรื่องกันเลยนะ คราวที่แล้วนำเสนอไปแล้ว 3 แบรนด์ด้วยกัน คือ Sony Pictures, A&W, Saab นี่คือแบรนด์ที่เหลืออีก 7 แบรนด์ที่จะนำเสนอ ดังนี้ครับ
4. American Apparel
เป็นบริษัท เสื้อผ้าฮิบๆ ของอเมริกัน ในอดีตเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่พอสมควร จากร้านเพียง 3 แห่งกับยอดขาย $82 ล้านในปี 2003 พอถึงปี 2008 มี 260 ร้าน ทำยอดขายเป็น $545 ล้าน แต่ปรากฏว่าเมื่อเทียบกับร้านเสื้อผ้าอื่นๆ แล้วกลับสู้ไม่ได้ เนื่องจากเจอต้นทุนการผลิต (ผ้าฝ้าย) ที่เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้ประสบปัญหา จนแทบล้มละลายเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ และเชื่อว่าคงจะไม่รอดอย่างแน่นอน
5. Soap Opera Digest
ชื่อเหมือน รีดเดอร์ ไดเจส ไหม ใช่แล้ว มันคือชื่อของนิตยสารเกี่ยวกับละครของอเมริกา สาเหตุของความล้มเหลวของนิตยสารนี้คือ การประกาศหยุดฉายของ Soap Opera (ละครชื่อดังของอเมริกา) และพัฒนาการของอินเทอร์เน็ตจนทำให้บรรดาแฟนละครสามารถติดต่อข่าวสาร ความเคลื่อนไหวและเรื่องย่อของละครได้บนเน็ต ไม่จำเป็นต้องซื้อนิตยสารอ่านอีกต่อไป
6. ห้างสรรพสินค้า Sears
เป็นห้างสรรพสินค้าที่ดังมากในอดีตของอเมริกา ต่อมาได้มีรูปแบบการค้าปลีกอื่นๆ เช่น Wal-Mart ที่เกิดมาใหม่ ทำให้ผลประกอบการแย่ลงเรื่อยๆ จนปี 2005 มีการควบรวมกับ Kmart ที่เป็นอีกหนึ่งธุรกิจค้าปลีกที่ดังมากเช่นกัน (ในอดีต) แต่เมื่อเอาแย่กับแย่มารวมกัน ผลที่ได้ก็คือ....แย่เข้าไปใหญ่
ปัจจุบัน Sears ขาดทุนสุทธิ $170 ล้าน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นตกลงถึง 55% ทางเลือกที่เหลือก็คือยุบให้เหลือแค่บริษัทเดียวก็พอ ซึ่งแนวโน้มก็คือยุบ Sears แล้วเก็บ Kmart ที่ดีกว่าไว้นั่นเอง
7. Sony Ericsson
ครั้งนึง เคยทำให้รู้สึกว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัว และน่ากลัวสำหรับคู่แข่งรายอื่นๆ และประสบความสำเร็จมากมายในอดีต แต่เมื่อเจอกับคู่แข่งอย่าง Apple,RIM (Blackberry), HTC และสมาร์ทโฟนอื่นๆ ทำให้ Sony Ericsson เซไม่เป็นท่าอยู่เช่นกัน
ยอดขายตกลงจาก 97 ล้านเครื่องในปี 2008 เหลือเพียง 43 ล้านเครื่องเมื่อปีที่ผ่านมา ที่สำคัญ Sony Ericsson ใช้ระบบปฏิบัติการ Symbian ของ Nokia ซึ่งทาง Nokia เองก็จะเลิกใช้แล้ว คาดกันว่ายอดขายจะค่อยๆ ตกลงทุกไตรมาส และปัจจุบันได้เริ่มประกาศลดพนักงานแล้ว
8. Kellog's Corn Pops
อาหารเช้าแบบฝรั่ง ที่เป็นเหมือนข้าวโพดกระป๋อง เป็นความภาคภูมิใจหนึ่งของ Kellog's แต่สภาวะแวดล้อมในธุรกิจ Cereal (อาหารเช้าสำเร็จรูปที่ใช้นมราด แล้วตักเข้าปาก นั่นแหละครับ) มีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้สินค้าใดที่ไม่ได้เน้น "เพื่อสุขภาพ" จะไปไม่รอด
ยอดขายตกลงมา 18% ในปีที่ผ่านมา ต้นทุนวัตถุดิบ (ข้าวโพด) แพงขึ้น มีส่วนผสมที่ไม่เอื้อต่อบรรดาผู้รักสุขภาพทั้งหลายตัดสินใจซื้อ ซึ่งคาดว่า Kellog's คงตัดจำหน่ายไปในที่สุด
9. MySpace
เคยเป็นอันดับหนึ่งของ Social Network โลก เมื่อปี 2005 ทาง News Corp ได้ซื้อ MySpace ไปด้วยราคา $580 ล้าน แต่แล้ว Facebook ก็มา ไม่ต้องเดาก็รู้นะครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นในธุรกิจของ Social Network
ปัจจุบัน MySpace มีสมาชิกไม่ถึง 20 ล้านคนในอเมริกา และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ และต้นปีที่ผ่านมาก็ได้มีการประกาศขายกิจการไป แต่ก็ไม่มีใครสนใจซื้อจริงจัง จนล่าสุดมีข่าวลือว่ามีผู้สนใจซื้อ ในราคา $100 ล้าน แต่ก็ไม่ใช้แบรนด์ MySpace อีกต่อไป แต่จะใช้ฐานข้อมูลสมาชิกที่มีอยู่บน MySpace ไปทำอย่างอื่น (แล้วถ้าอย่างงี้ ในอนาคตฐานข้อมูลของเราๆ ท่านๆ ที่ใช้ Facebook กันอยู่จะมีความปลอดภัยอีกไหม เป็นสิ่งที่น่าถามอย่างยิ่ง)
10. สุดท้ายและท้ายสุด อาจจะไม่สามารถรอดไปได้ หากยังไม่ปรับปรุง นั่นก็คือ Nokia
ท่ามกลางสมรภูมิรบ ของสมาร์ทโฟน Nokia ยังถือว่าตามหลังคู่แข่งอยู่หลายขุม แม้ว่าทางบริษัทเองจะประกาศว่ามีการร่วมมือกับ Microsoft ในการพัฒนาระบบปฏิบัติการ Windows 7 บนมือถือ Nokia แต่ในขณะเดียวกัน ระบบปฏิบัติการอย่าง Andriod (แอนดรอยด์) และระบบปฏิบัติการของ Apple ก็ทำตลาดได้อย่างยิ่งใหญ่ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคไปอย่างมาก จนทำให้ยอดขายของ Nokia ลดต่ำลงเป็นอย่างมาก ทำให้ต้องจับตามองการพลิกฟื้นของ Nokia ในการที่นำเอาระบบปฏิบัติการ Windows 7 มาใช้แทน Symbian
ทางออกของ Nokia ถ้าเกิดความพยายามพลิกฟื้น แบรนด์ครั้งนี้ไม่สำเร็จ คือ การเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมาซื้อ ที่คาดเดากันในแวดวงนี้ก็คือ HTC ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ผลิตมือถือใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก หรือยักษ์ใหญ่อย่าง Micorsoft ก็สนใจในธุรกิจโทรคมนาคมมากขึ้น หลังจากมีการซื้อ Skype (การติดต่อสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เนตโดยสามารถเห็นหน้าพูดคุยกันได้เลย) หรือแม้กระทั่งสองยักษ์ใหญ่แห่งดินแดนซีรี่ย์สุดฮิต อย่าง Samsung และ LG ก็สนใจ Nokia ครับ
ถ้าสุดท้าย Nokia มีคนไปซื้อและเปลี่ยนแบรนด์ไปจริงๆ ก็จะกลายเป็นตำนานหนึ่งของธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสุดๆ แล้วมาล้มเหลว (แต่บอกตามตรงว่าแอบเอาใจช่วย Nokia อยู่)
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์การตลาดต่างๆ ที่ได้วิเคราะห์ไว้ แล้วผมได้นำมานำเสนอต่ออีกทีนึง แต่ประเด็นที่อยากจะสื่อให้เห็นก็คือว่า "การพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญ จงอย่าหยุดพัฒนาตนเอง เพราะเมื่อเราหยุดพัฒนาตนเองแล้ว เราจะกลายเป็นผู้ล้าหลังทันที" และ ผู้ที่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และปรับตัวเข้ากับมันได้ จะเป็นผู้ที่อยู่รอดต่อไปในสังคม เหมือนกับ เรื่อง "Who Move My Cheese" ที่ผมเคยได้นำเสนอกันไป เมื่อ กันยายน ปีก่อน ใครจะพอจำได้บ้างหนอ....เจอกันใหม่บทความหน้าครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น