Powered By Blogger

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

The A-Team หนึ่งทีมหนึ่งเดียว

บทความนี้ก็เป็นส่วนต่อจาก บทความที่แล้วที่ได้นำเสนอไป


     ในองค์กรเราตอนนี้ คำว่า "ทีมเวิร์ก" เป็นที่ต้องการมากที่สุด การสร้างทีมให้เป็น The best นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของเราทุกคน แต่ต้องหาคนที่มีลักษณะให้ตรงกันสักหน่อย


    
     หนังเรื่อง A-Team เป็นหนัง Action มันส์ๆ เล่าเรื่องของทหารหน่วย Ranger 4 นาย ระดับหัวกะทิที่มีความสามารถเกินพิกัด ภารกิจที่เสี่ยงตายเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับพวกเขา โดยไม่ต้องเสียเหงื่อเพียงสักหยด 
     เมื่อเข้าร่วมปฏิบัติการลับสุดยอดที่เปิดโปงกระบวนการลักลอบโจรกรรมแบบพิมพ์แบงค์ดอลล่าร์อเมริกัน แต่ทว่า มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
     พวกเขากลับกลายเป็นแพะรับบาป ถูกใส่ร้ายป้ายสีจนต้องแหกคุกออกมาเคลียร์ชื่อเสียงให้กับพวกเขาเองและมันก็สำเร็จเสียด้วย....


     การมีหัวหน้าทีมจอมวางแผนอย่างฮานนิบาล  หนุ่มลุ่มลึก นักแก้ปัญหาและมีวาทะศิลป์เป็นเลิศอย่างเฟส ฝ่ายบู๊ระห่ำ ฝีมือขับรถสุดเจ๋งอย่างบีเอ  และนักบินที่หาตัวจับยากอย่างเมอร์ด๊อค 


     โดยทั้ง 4 คนมีคุณสมบัติโดดเด่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกันได้แบบฉลุย มีสำนวนติดปากหัวหน้าทีมและลูกทีมประจำคือ "ผมชอบเวลาที่งานสำเร็จชะมัด"
     การเข้าจังหวะ กะเวลา และมอบหมายหน้าที่ที่เหมาะสมกับแต่ละคน เป็น Key success (กุญแจสำคัญในความสำเร็จ) ของแต่ละภารกิจที่สำเร็จตามเป้าหมาย โดยไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย
     แต่การทำงานในวิถีชิวิตปกติ จะหาข้อผิดพลาดแบบไม่ได้เลยย่อมยากมากกว่าในหนัง ดังนั้น การเลือก "Team Work" เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญขององค์กร เพราะแต่ละคนมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน หัวหน้าทีมต้องมีสายตาที่แหลมคม
     และต่อให้มีทีมที่ดี ที่ว่า Work แล้ว แต่วันเวลาอาจสั่นสะเทือนความเป็นทีมได้เช่นกัน การเจอะเจอกันบ่อยๆ แลกเปลี่ยนปัญหา ไม่เฉพาะงาน แต่รวมถึงปัญหาชีวิตด้วย ให้ลูกทีมรู้สึกว่าได้เข้าไปมีส่วนร่วมของกันและกัน ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ เป็นสิ่งที่ดีในการสร้างทีม
     
     จุดหนึ่งของหนัง A-Team บอกกับเราเรื่องนี้คือ เมื่อฝ่ายผู้ระห่ำอย่างบีเอ ประกาศชัดว่าจะไม่ฆ่าคนอีกต่อไป ทำให้งานเกิดอุปสรรค เพราะถ้าเราไม่ฆ่าเขา เราก็ต้องตาย  สิ่งที่หัวหน้าทีมอย่างฮานนิบาลพูดสะกิด บีเอ คือ "การทำความถูกต้องให้เกิดไม่ได้แปลว่าเราต้องไม่ฆ่าใคร แต่มันอยู่ที่การพิสูจน์ตัวเราเองอย่างสุดความสามารถต่างหาก"
     การวางเป้าหมายของทีมหนึ่งทีมไม่ใช่อยู่ที่ KPI (ตัวชี้วัด) วัดความสำเร็จเมื่องานเสร็จเท่านั้น หากต้องมองระยะยาวว่า หากใครคนใดคนหนึ่งในทีมเกิดพลาดพลั้งเสียหลัก ทีมจะเป็นที่พักพิง และฉุดให้ "เดอะทีม" กลับมาได้อย่างไร


     "หนึ่งทีม อาจจะไม่ต้องประกอบด้วยหัวกะทิทั้งหมด แต่หนึ่งทีมต้องการส่วนผสมอะไรบ้าง??? งานของเราเท่านั้นที่ให้คำตอบได้ดีที่สุด" 


     หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะทำให้เกิดแรงบันดาลใจใน การสร้างทีมเวิร์กที่สำคัญในการปฏิบัติงานร่วมกันต่อไป  อย่าลืมนะครับว่า เราอยู่ที่ทำงานมากกว่าอยู่ที่บ้านซะอีก ส่วนตัวยังมีความคิดเลยว่า "ที่นี่มันเหมือนบ้านหลังที่สองของเราจริงๆ"
     ไว้เจอกันในบทความหน้านะครับสมาชิกบ้านบัญชีศรีพัฒน์ทั้งหลาย.....
     

เติมพลัง...สร้างแรงบันดาลใจ จาก Ratatouille

สวัสดีครับ พี่น้องชาวบัญชีทุกท่าน
    วันนี้ผมเอาบทความที่นำเสนอในการประชุมครั้งที่ 12 มาลงในบล็อค เพื่อให้ผู้ที่สนใจอยากจะติดตามหลังจากที่อาจจะฟังจากผมไม่ทัน

     บ่อยครั้งใช่มั้ยครับ ที่เราต่างต้องเผชิญปัญหาต่างๆ ทั้งจากที่ทำงาน ทั้งจากเรื่องส่วนตัว ที่มาบั่นทอนกำลังใจ  แล้วเราแต่ละคนจะมีวิธีเผชิญและผ่านสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรกันบ้างครับ ???
     ถ้าสิ่งเหล่านี้นกระทบชีวิตเราไม่มาก เราก็คงหาทางผ่านมันไปได้  แต่ถ้ามันหนักหนาสาหัสมากๆ ล่ะก็ เราจะพบว่ามันมีอิทธิพลต่อชีวิตเรามากในช่วงนั้นๆ เลยทีเดียว


     "อยากทำอาหารเก่ง ต้องไม่ใจเสาะ ต้องลองผิดลองถูกดูบ้างและต้องไม่ยอมให้ใครมาบอกว่า คุณมีข้อจำกัด เพียงเพราะภูมิหลังของคุณ"


     "ผมพูดจริงๆ ใครๆ ก็ทำอาหารได้ แต่คนที่ไม่กลัวเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ"


     "อาหารดีๆ ก็เหมือนดนตรีที่เราดื่มด่ำได้ มีสิ่งที่ดีเลิศอยู่รอบๆ ตัวเรา เพียงแต่เราต้องรู้จักหยุดและปรุงรสมัน"


     "ถ้ามัวหมกมุ่นกับอดีต ก็จะเป็นการหยุดและมองไม่เห็นอนาคต"


     ประโยคเหล่านี้ปรากฎในหนังเรื่อง Ratatouille (ระ-ทะ-ทู-อี่)  พ่อครัวตัวจี๊ด หัวใจคับโลก เป็นประโยคที่ช่วยกระตุ้นกำลังใจในการทำงานได้ดี  เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ปี 2007 สาขา Best Animated Feature Film of the Year  เรื่องเล่าถึง เรมี่ หนูฝรั่งเศสที่แสนทะเยอทะยาน ความใฝ่ฝันของเขาคือการเป็นสุดยอดเชฟมือหนึ่งให้จงได้ (หนู...จะเป็นพ่อครัวเนี่ยนะ)



     ด้วยเหตุนี้เองทำให้เรมี่และครอบครัวต้องย้ายจากชานเมืองของฝรั่งเศสเข้ามาสู่ "ปารีส" และได้พบว่าตัวเองได้มาอยู่ใต้ภัตตาคารอันเลื่องชื่อจากสุดยอดปรมจารย์เรื่องอาหารและยังเป็นฮีโร่ในดวงใจของเขา "เชพ ออกุสกัสโตว์" ที่นี่เรมี่ได้ช่วยลิงกวินี่ เด็กก้นครัวที่ทำอาหารไม่ได้เรื่อง ปรุงซุปซึ่งได้รับคำขมจากนักวิจารณ์อาหารที่มีอิทธิพลระดับโลก  เรมี่ได้ร่วมมือกับลิงกวินี่ ปรุงอาหารรสเลิศต่างๆ เมื่อพวกเขาเริ่มปฏิบัติการณ์ ความสนุกปนฮา และการไล่จับหนูก็เกิดขึ้น  ตามมาด้วยแง่คิดมากมายที่สอดแทรกอยู่ในหนัง



     สรุปวิธีสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นพลัง และกำลังใจ จากหนังเรื่องนี้ ได้ดังนี้ครับ


1.  ต้องรู้จักศักยภาพของตัวเอง  
     เรารู้จักตัวเองดีแค่ไหน ศักยภาพของเรามีแค่ไหนและนำมาใช้เต็มที่รึยัง  ในเรื่องนี้  เรมี่ รู้ว่าศักยภาพและพรสวรรค์ของตนคือ การดมกลิ่นที่เป็นเลิศ เรมี่จึงดึงจุดเด่นของตนมาลบจุดด้อยซะ  แล้วในหนังก็ทำให้เราเห็นว่า หนูซึ่งเป็นสัตว์ที่สกปรกที่สุดในโลกของการทำอาหาร ก็สามารถทำอาหารได้ดีเช่นกัน
     ไม่ว่าเราจะดูต่ำต้อย และมีข้อจำกัดเพียงใด แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจ การวิ่งตามความฝัน โดยไม่กลัวอุปสรรคก็ทำให้เราพบความสำเร็จได้
2.  หา Role Model หรือต้นแบบ สร้างมโนภาพ รู้จักจินตนาการ 
     หาใครสักคนมาเป็นต้นแบในใจ ศึกษาประวัติเขา ไม่มีใครจะประสบความสำเร็จโดยไม่ผ่านอุปสรรคหรอกครับ  เรียกเขาเข้ามาอยู่ในหัวเมื่อรู้สึกเหนื่อยและท้อแท้  
     เรมี่  เอาชนะความกลัวของตนได้โดยการสร้างจินตนาการว่า มีเชฟ ออกุสกัสโตว์ อดีตเชฟมือหนึ่ง และเป็นเจ้าของตำราทำอาหารเล่มโปรดของเรมี่ เจ้าของคติ "ใครๆ ก็ทำอาหารได้" เป็นแรงบันดาลใจของเรมี่เสมอมา มาคอยพูดกระตุ้นให้คิดและให้ทำอยู่ข้างๆ หู
3.  อย่าให้สิ่งไม่ดี คำพูดหรือคนไม่ดี มาบั่นทอนใจเรา
     เมือได้ยินคำพูดที่ทำให้เราหมดกำลังใจ อย่าเก็บเอามาคิดให้รกสมอง เปลี่ยนมาเป็นเอามากระตุ้นให้เราเอาชนะคำสบประมาทเหล่านั้นจะดีกว่า  
     กัสโตว์เชฟมือหนึ่ง หลังจากโดนคำวิจารณ์ของนักชิม อีโก้ ก็เสียศูนย์ ท้อแท้และตรอมใจตาย อย่าให้คำพูด คำวิจารณ์ คำตำหนิเพียงไม่กี่คำ มาทำลายผลงานที่เราอุตส่าห์สร้างนะ
     รับฟัง ปรับปรุง แก้ไข และเอาชนะ ดีกว่ามานั่งหมดกำลังใจ (ยังมีอะไรให้เราคิด และทำอีกเยอะ)
4.  การเคารพผู้อื่น เหมือนที่ต้องการให้ผู้อื่นเคารพตน
     การมีความจริงใจ ไม่ดูถูกและไม่แบ่งแยกชนชั้น รู้จักรักษาน้ำใจมากกว่าจะมานั่งจับผิด  รู้จักให้ ถ้าอยากได้สิ่งดีๆ ตอบแทน ก็ต้องให้ก่อนนะ  หนังสอนให้เรารู้จักให้ความสำคัญกับทุกชีวิต       
     ตอนที่กัสโตว์ในจินตนาการของเรมี่ ถามเรมี่ว่า ในครัวมีใครสำคัญบ้าง เรมี่ตอบว่าในทุกๆ คนที่สวมชุดพ่อครัวสำคัญ จนมาคนสุดท้าย ที่เรมี่ตอบว่าไม่สำคัญ เพราะเขาเป็นเด็กล้างจาน แต่กัสโตว์กลับสอนว่า ทุกคนสำคัญแม้กระทั่งเด็กล้างจานเพราะทุกคนมีบทบาทหน้าที่ของตนเอง 
     ประเด็นคือ ถ้าเรารูจักเคารพผู้อื่น เมื่อถึงเวลาที่เราคิดว่าไม่มีใคร จะกลับมีมือหลายมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างที่เราไม่คาดคิด ดังเช่น ทีมงานหนู ที่มาช่วยทำอาหารช่วงสุดท้าย แถมยอมทำตามเรมี่ทุกอย่างแม้กระทั่งถูกฆ่าเชื้้อโรค
5. คิดนอกกรอบ มีสัมผัสพิเศษ
     ไม่ใช่ six sense นะ คือหากอยากเป็นยอดเชฟ มากกว่านั้นคือ แรงบันดาลใจ จินตนาการ และความมุ่งมั่น  หากเราอยากเป็นอะไรซักอย่างให้ดี แม้จะผิดจากที่เป็นอยู่ 
     เช่น เป็นหนูจะมาทำอาหารไดอย่างไร  คิดนอกกรอบไปเลย หากมีดีในตัว มั่นใจเข้าไว้ สักวันฝันจะเป็นจริง  หรือเวลาที่เชฟกัสโตว์คิดสูตรอาหาร เขาจะคิดเสมอว่า "รสชาติมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน การผสมรสหนึ่งเข้ากับอีกรสหนึ่ง จะเกิดรสใหม่เสมอ"
6. การมีความยืดหยุ่น
     รู้จักเข้าหาคนที่มีลักษณะและความคิดที่แตกต่างกัน เหมือนกับที่ เรมี่เข้าหาลิงกวินี่ จนเป็นสิ่งที่สร้างสรรและมิตรภาพที่ยั่งยืน


     ท่ามกลางความสนุกสนานของหนัง ได้ถ่ายทอดสายสัมพันธ์ของมิตรภาพและความภักดี การต่อสู้กับความคาดหวังของครอบครัว และการยืนหยัดได้ด้วยขาของตัวเองโดยไม่พึ่งพวกเขา
     สิ่งที่สำคัญที่สุด การซื่อตรงต่อตัวตนของตัวเอง แม้ว่าเราจะไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ คาดคิดไว้ก็ตาม.....
     สุดท้าย คำว่า Ratatouille (ระ-ทะ-ทู-อี่) คือ อาหารชนิดหนึ่งในฝรั่งเศสที่เป็นอาหารง่ายๆ และมักจะทำกันในครอบครัวของคนจน
     ตอนท้ายเรื่อง นักวิจารณ์ที่ชื่อ อีโก้ คนเดียวกับที่เคยวิจารณ์ กัสโตว์ จนต้องตรอมใจตายนั่นแหละ ต้องการที่จะทำให้ภัตตาคารนี้พังอีกครั้ง โดยการสั่งอาหารอะไรก็ได้ และเจ้าหนูเรมี่ ตัดสินใจทำ Ratatouille มาเสริฟ์ เมื่ออีโก้ชิมคำแรก ก็นึกถึงสมัยเด็กที่ยากจนและแม่ทำ Ratatouille ให้กิน จนน้ำตาไหล และยอมแพ้  
     สะท้อนให้เห็นว่า  "สูงสุด สุดท้ายก็คืนสู่สามัญ"  หนังดีๆ อย่างนี้ ไปหามาดูกันนะครับ.... 









วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

เมื่อรู้สึกชีวิตเริ่ม "เยอะ"

สวัสดีครับ พี่น้องชาวบัญชีทุกท่าน
     คงสนุกสนานกันไปพอควร สำหรับงานกีฬาสีครั้งแรกของพวกเรา ก็แบ่งเหรียญแบ่งถ้วยกันไป โดยรวมแล้วผมว่าพวกเราเก่งกันทุกคน ทั้งสองสีเลย เก่งกันไปคนละแบบ
     ส่วนตัวผมเองในฐานะกรรมการ ยอมรับว่าเหนื่อยครับ แต่ว่าไม่เป็นไรเพื่อความสนุกสนาน และอะไรหลายๆ อย่างซึ่งไม่สามารถจะบอกในที่นี้ได้... ก็เอาเป็นว่าดีใจที่ผ่านไปได้ด้วยดีครับ
     สำหรับช่วงนี้ พวกเราเองคงต้องเร่งมือกันทำบัญชีกันนิดหน่อย เนื่องจากมีทั้งผู้สอบบัญชีเข้ามาร่วมตรวจสอบ และการโดนเร่งจากรอบข้าง จึงทำให้บางท่านอาจจะรู้สึกว่า "เยอะ" งั้นวันนี้ เราลองมาดูกันครับว่า จะมีวิธีจัดการกับเรื่อง "เยอะๆ" เหล่านี้ยังไงกันบ้าง


     1.  ลำดับความสำคัญให้เป็น
               อันนั้นก็ต้องทำ นี่ก็ต้องเอา นั่นก็ต้องเร็ว มีสารพัดปัญหาเยอะแยะากมายเต็มไปหมด บางทีก็ทำให้เหนื่อยล้า และท้อใจกันได้ง่ายๆ เหมือนกัน  ดังนั้นแล้ว  ลำดับความสำคัญให้เป็น เรื่องไหนควรทำก่อนหลังจำเป็นต้องรู้  เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาหรืองานนั้นๆ ได้สำเร็จ  ที่สำคัญต้องรู้จักวางแผนในการทำสิ่งนั้นๆ ควบคู่ไปด้วย  โดยมีการวางแผนว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร ต้องทำมากน้อยขนาดไหน  และควรจะสิ้นสุดเมื่อไหร่หรือหาทางแก้ไขอย่างไร  
               เพราะการก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างบ้าคลั่งโดยขาดการหยุดคิดเพื่อวางแผนงาน แทนที่จะทำให้เราทำงานได้เร็วเสร็จทันตามกำหนด กลับเกิดความผิดพลาดและล่าช้าเกินกว่ากำหนดก็ได้นะ




     2.  อย่าทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
               เมื่อมีเรื่องนั้น เรื่องนี้เข้ามามากมายเต็มไปหมด  ให้ใจเย็นๆ สูดหายใจลึกๆ แล้วค่อยๆ ทยอยทำไปทีละอย่าง อย่าได้ทำหลายๆ อย่างพร้อมกันโดยเด็ดขาด ไม่ฉะนั้นจากที่ "เยอะ" อยู่แล้ว จะกลายเป็นหนักกว่าเก่าอย่างแน่นอน




     3.  มีเป้าหมายที่ชัดเจน
               ตั้งเป้าหมายในชีวิตเอาไว้นะ  เพราะการมีเป้าหมายที่แน่วแน่ จะเป็นเหมือนเข็มทิศในการนำทางให้  ได้ก้าวเดินไปอย่างถูกต้องตามลู่ทางที่ได้กำหนด ซึ่งจะเป็นผลดี ทำให้ไม่วอกแวกกับสิ่งอื่น  พูดง่ายๆ คืออยู่ที่ใจตัวเองนั่นแหละ ว่าจะสู้ไหม (ไหวมั้ยเนี่ย....)
  
     4.  พักซะบ้าง
               อะไรที่ไม่ใช่เรืองสำคัญ ก็ไม่ต้องทำ  หยุดพักให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนซะบ้าง เพราะการพักผ่อนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อร่างกายเรา  หรืออีกทางหนึ่งคือการออกไปเปิดหูเปิดตาก็ดีนะ  ทิ้งทุกสิ่งอย่างที่ทำให้ปวดหัว


 หาเวลาว่างแล้วไปเปิดหูเปิดตาไปเที่ยว หาความสุขใส่ตัวให้เต็มที่  รับรองว่า กลับมาทำงานเมื่อไหร่ จะได้มีไฟที่พร้อมสู้งานมากขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
     5.  มองหาตัวช่วย
               ในชีวิตของคนเรา เมื่อเกิดมาแล้ว ขาดไม่ได้คือสังคม ไม่มีใครที่สามารถจะทำงานเสร็จได้ด้วยตัวคนเดียวโดยปราศจากคนสนับสนุน ตรงกับสำนวนไทยที่กล่าวไว้ว่า "คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย"  ร่วมด้วยช่วยกันทำไป งานก็เสร็จเร็วขึ้น แถมยังได้มีเวลาพักมากขึ้นอีกด้วยเช่นกัน
     6.  เลิกผัดวันประกันพรุ่งซะ
               "เอาไว้ก่อนน่า"  "อีกเดี๋ยวค่อยทำ ไม่เป็นอะไรหรอก"  ข้ออ้างแบบนี้เลิกเถอะครับ เพราะเป็นคำพูดที่ไม่ได้สร้างประโยชน์เลย  ลองเปลี่ยนเป็นแบบนี้ดีกว่ามั้ย "ได้ เดี๋ยวจะรีบทำเบย จะได้เสร็จๆ ไป"  หรือ "สงสัยถ้าไม่รีบทำตอนนี้ มีหวังได้เหนื่อยยาวแน่ๆ ต้องทำให้ไวแล้ว" นี่ไงเข้าท่ากว่าเยอะเนอะ
     7.  ทำจิตใจให้เบิกบาน
               เวลาที่เรามีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นใจให้แก่เรามาก การมีความสุขถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ ดังนั้นถ้าอยากให้มีช่วงเวลาดีๆ เหล่านั้นอยู่กับเราเสมอแล้วล่ะก็ ขอให้ยิ้มเข้าไว้ ทำจิตใจให้เบิกบานอยู่เสมอ มองโลกในแง่ดี  จะเป็นอะไรที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวเป็นที่สุดครับ

ฝากไว้ให้เป็นแนวคิด ประกอบในการใช้ชีวิตทำงานต่อไป  
ไว้เจอกันในบทความหน้าครับ......