Powered By Blogger

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบัญชีบริหาร

การบัญชีบริหาร (Managerial Accounting)
          โดยส่วนใหญ่แล้ว องค์ประกอบที่สำคัญของการบัญชีบริหารจะประกอบไปด้วย
·       การวิเคราะห์งบการเงิน (Financial Analysis)  เป็นการดูความสัมพันธ์ของข้อมูลในงบการเงิน เพื่อสะท้อนให้เห็นสภาพ และสามารถนำมาพยากรณ์ธุรกิจ โดยการใช้เครื่องมือการวิเคราะห์แนวดิ่ง (Common-size Analysis)  การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis) และการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio Analysis)  ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวนี้สามารถนำไปใช้ในการบริหารการเงินได้ในปัจจุบัน
·       การวิเคราะห์ต้นทุน (Cost Analysis)  เป็นการนำข้อมูลด้านต้นทุนมาวิเคราะห์ เพื่อนำไปบริหารจัดการทั้งการวางแผน การตัดสินใจ และการควบคุมการดำเนินธุรกิจให้บรรลุเป้าหมาย ที่ในปัจจุบันมีการพัฒนาแนวคิดนี้ไปสู่ การบริหารต้นทุน (Cost Management) อันเป็นจุดมุ่งเน้นของการบัญชีบริหารสมัยใหม่

การวิเคราะห์งบการเงิน
          เป็นกระบวนการค้นหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของกิจการ จากงบการเงิน พร้อมหาข้อเท็จจริงมาประกอบการตัดสินใจต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์งบการเงิน
·       เพื่อทราบฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของกิจการ
·       เพื่อทราบจุดแข็งและจุดอ่อนในการดำเนินงาน
·       เพื่อชี้ปัญหาทางการเงิน การดำเนินงานและแนวโน้มในอนาคตของกิจการ

ขั้นตอนการวิเคราะห์งบการเงิน
1.       กำหนดเป้าหมายการวิเคราะห์ให้ชัดเจน  ว่าจะวิเคราะห์ในฐานะอะไร ต้องการอะไรจากการวิเคราะห์ และจะนำผลการวิเคราะห์ไปใช้อย่างไร
2.      รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานและฐานะการเงินของกิจการที่ต้องการวิเคราะห์
3.      นำข้อมูลต่างๆ ที่รวบรวมมาจัดให้อยู่ในรูปแบบเดียวกันเพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบ
4.      เลือกวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่ต้องการจากการวิเคราะห์

การวิเคราะห์เปรียบเทียบ
          เพื่อให้ทราบถึงสภาพของกิจการ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเปรียบเทียบข้อมูลที่เกิดขึ้นเพื่อหาการเปลี่ยนแปลงและจุดที่ทำให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้สภาพของกิจการเป็นอยู่ในปัจจุบัน และเพื่อใช้ในการพยากรณ์ธุรกิจของกิจการต่อไปในอนาคต  โดยจะต้องเปรียบเทียบข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังนี้
·       ข้อมูลของกิจการในอดีต  มาจากงบการเงินของกิจการอย่างน้อย 2 งวดบัญชี ได้แก่ งวดปัจจุบันและอดีต เพื่อทราบการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง และหาสาเหตุประกอบ
·       ข้อมูลคู่แข่งในอุตสาหกรรม  เป็นการหาข้อมูลจากภายนอกของกิจการ อาจได้มาจากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์  หรือสอบถามผู้เกี่ยวข้อง เพื่อทำการเปรียบเทียบ
·       ข้อมูลมาตรฐานอุตสาหกรรม  เป็นการหาข้อมูลจากภายนอกกิจการ อาจมาจากหน่วยงานราชการที่อ้างอิงได้  และข้อมูลข่าวสารทั่วไป  เพื่อเปรียบเทียบกิจการกับภาพรวมธุรกิจ
·       ทั้งนี้ในการเปรียบเทียบต่างๆ หากกิจการมีฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ควรมีการเปรียบเทียบตามช่วงฤดูกาลประกอบด้วย
การวิเคราะห์แนวโน้ม  (Trend Analysis) 
เป็นการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงรายการในงบการเงินที่ต่างช่วงเวลากัน  มีองค์ประกอบที่ใช้ดังนี้
·       จัดทำจากงบการเงินอย่างน้อย 2 งวด
·       หาจำนวนเงินที่เปลี่ยนแปลงเพิ่ม (ลด) ของแต่ละรายการของ 2 งวด
·       หาอัตราการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มหรือลดลง โดย
อัตราการเปลี่ยนแปลง = (จำนวนเงินในปีปัจจุบัน จำนวนเงินปีก่อนหรือปีฐาน) x 100
จำนวนเงินปีก่อนหรือปีฐาน
          ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์แนวโน้ม จะทำให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงเพื่อวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการทำกำไรหรือฐานะการเงิน หรือเพื่อค้นหาสาเหตุต่อไป เช่น ร้อยละต้นทุนสินค้าที่เพิ่ม หรือร้อยละของหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น

การวิเคราะห์แนวดิ่ง (Common – Size Analysis)
          เป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของรายการต่างๆ ในงบการเงินเดียวกันในรูปแบบตัวเลขที่เป็นร้อยละซึ่งจะต้องมีวิธีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องดังนี้
·       งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ  ให้ทำการกำหนดค่าขายเป็น 100% โดยรายการอื่นในงบกำไรขาดทุนให้เป็นสัดส่วนที่เทียบกับค่าขายหรือรายได้รวม
·       งบแสดงฐานะการเงิน  ให้กำหนดสินทรัพย์หรือหนี้สินและทุนรวม เป็น 100% โดยรายการอื่นในงบดุลให้เป็นสัดส่วนที่เทียบกับสินทรัพย์หรือหนี้สินและทุน
ข้อมูลที่ได้อาจจะเป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลของกิจการที่มีทั้งขนาดและรูปแบบของกิจการที่ต่างกันในงวดเวลาที่ต้องการเปรียบเทียบข้อมูลนั้นๆ

การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio Analysis)
          เป็นการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของรายการในงบการเงินในงวดบัญชีเดียวกัน โดยตัวเลขหนึ่งเป็นตัวตั้ง อีกตัวหนึ่งเป็นตัวหาร  แสดงเป็นอัตราส่วน และสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ข้อมูล โดยพื้นฐานควรจะต้องวิเคราะห์เป็น 4 ส่วน ดังนี้
1.       อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio)  ใช้ในการวัดสภาพคล่องของเงินสดในระยะสั้น
2.      อัตราส่วนความสามารถทำกำไร (Profitability Ratio)  ใช้ในการวัดความสามารถในการหารายได้และการควบคุมค่าใช้จ่ายของกิจการ
3.      อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพ (Efficiency Ratio)  ใช้วัดความสามารในการใช้สินทรัพย์ในการดำเนินธุรกิจ
4.      อัตราส่วนวัดความสามารถในการชำระหนี้ (Solvency Ratio)  ใช้วัดความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้หนี้สิน อัตราส่วนนี้เจ้าหนี้  ธนาคาร และผู้ให้กู้ จะใช้ในการประเมินความเสี่ยงจากการได้รับชำระเงินของกิจการ

อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio)  ประกอบด้วย 2 อัตราส่วนที่สำคัญ ดังนี้
1.       อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) 
อัตราส่วนทุนหมุนเวียน                 =          สินทรัพย์หมุนเวียน               (เท่า)
                        หนี้สินหมุนเวียน
          อัตราส่วนนี้ทำให้ทราบว่ากิจการมีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้กี่เท่าของหนี้สินที่จะต้องชำระภายใน 1 ปี   ถ้าอัตราส่วนนี้สูง แสดงว่ามีสภาพคล่องสูงและมีความสามารถชำระหนี้ระยะสั้นได้ดี (ควรมากกว่า 1 เท่า และยิ่งสูงยิ่งดี)

2.      อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว  (Quick Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว
= สินทรัพย์หมุนเวียน สินค้าคงเหลือ สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น   (เท่า)
                                           หนี้สินหมุนเวียน
          อัตราส่วนนี้แสดงว่ากิจการมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่สามารเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว ได้แก่ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เงินลงทุนระยะสั้นและลูกหนี้การค้า  เป็นกี่เท่าของหนี้สินหมุนเวียน  ถ้าอัตราส่วนนี้สูง แสดงว่ามีสภาพคล่องสูง และมีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นได้ดี (ควรมากกว่า 1 เท่า และยิ่งสูงยิ่งดี)

อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratio) เป็นอัตราส่วนที่สะท้อนการบริหารโดยรวมของกิจการ ประกอบด้วย 5 อัตราส่วน ดังนี้
1.       อัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit) 
อัตราส่วนกำไรสุทธิ  =        กำไรสุทธิ  x 100         (ร้อยละ)
                                  รายได้สุทธิ(ขาย)
     อัตราส่วนนี้แสดงว่ากิจการมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีเป็นกี่ % ของยอดขาย ถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงถึงกิจการมีความสามารถในการหารายได้และควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี  (ยิ่งสูงยิ่งดี)

2.      อัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit)
อัตราส่วนกำไรขั้นต้น         =        กำไรขั้นต้น  x 100       (ร้อยละ)
 รายได้สุทธิ(ขาย)
          อัตราส่วนนี้ แสดงว่ากิจการมีกำไรขั้นต้นเป็นกี่ % ของยอดขาย ถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่ากิจการมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนสินค้าที่ดี และมีโอกาสในการทำกำไรสุทธิดี (ยิ่งสูงยิ่งดี)

3.      อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์  (Return on Asset – ROA)
อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์  =         กำไรสุทธิ  x 100         (ร้อยละ)
                                                      สินทรัพย์ทั้งสิ้น
     อัตราส่วนนี้แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมดของกิจการในการดำเนินงานว่าสามารถทำกำไรเท่าใด ถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่ากิจการได้ใช้เงินลงทุนไปในสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ

4.      อัตราผลตอบแทนต่อทุน (Return on Equity – ROE)
อัตราผลตอบแทนต่อทุน  กำไรสุทธิ  x 100         (ร้อยละ)
                                  ส่วนของเจ้าของ
          อัตราส่วนนี้แสดงว่าเงินทุนที่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นนำมาลงทุน สามารถทำกำไรได้เท่าใดเป็นกี่ % ของส่วนของเจ้าของ  ถ้าอัตราส่วนนี้สูง จะทำให้ผู้ลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและพึงพอใจ

5.      อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (Earning Per Share – EPS)
อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น  =               กำไรสุทธิ                            (บาท)
จำนวนหุ้นสามัญที่ออกจำหน่าย
          เป็นอัตราส่วนที่ผู้ลงทุนประเมินผลกำไรต่อหุ้น และผู้บริหารนำไปพิจารณาจ่ายเงินปันผล

อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพ (Efficiency Ratio)  เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยใช้สินทรัพย์ต่างๆ บรรลุเป้าหมายในการบริหารหรือไม่  ประกอบด้วย 5 อัตราส่วน ดังนี้
1.       อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้  (Receivable Turnover)
อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้  =         ยอดขายสุทธิ    (รอบ)
ลูกหนี้การค้า
          อัตราส่วนนี้ทำให้ทราบว่าใน 1 รอบระยะเวลาบัญชี  กิจการมีการเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้กี่รอบ หรือกี่ครั้ง ถ้าอัตราส่วนนี้สูง แสดงว่า มีการบริหารลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเปลี่ยนลูกหนี้เป็นเงินสดได้เร็ว ซึ่งทำให้มีสภาพคล่องที่ดี (ยิ่งสูงยิ่งดี)

2.      ระยะเวลาการเก็บหนี้  =              365                         (วัน)
                 อัตราส่วนการหมุนเวียนลูกหนี้
          อัตราส่วนนี้ทำให้ทราบว่าโดยเฉลี่ยแล้วลูกหนี้ของกิจการใช้ระยะเวลาเก็บหนี้กี่วัน  ถ้าอัตราส่วนนี้สูงจะต้องมีการทบทวนเงื่อนไขการให้สินเชื่อและการติดตามลูกหนี้ เนื่องจากทำให้เสี่ยงต่อการดำเนินงาน และถือว่าไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการลูกหนี้  (จำนวนวันยิ่งต่ำยิ่งดี)

3.      อัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)
อัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ         =        ต้นทุนขาย       (รอบ)
                  สินค้าคงเหลือ
          อัตราส่วนนี้แสดงให้ทราบว่าใน 1 รอบบัญชี กิจการขายสินค้าได้กี่รอบ  ถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าสินค้าของกิจการสามารถขายได้เร็ว  สะท้อนให้เห็นว่ามีการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่ดี และการบริหารการขายดี (ยิ่งสูงยิ่งดี)
4.      ระยะเวลาการหมุนสินค้าคงเหลือ
ระยะเวลาการหมุนสินค้าคงเหลือ  =       365                   (วัน)
อัตราหมุนเวียนสินค้า
อัตราส่วนนี้แสดงให้ทราบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว สินค้าที่จัดหามา ใช้เวลาในการขายกี่วัน  ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำแสดงว่า มีความสามารถในการขายสินค้าเพื่อเปลี่ยนเป็นรายได้ได้เร็ว สะท้อนให้เห็นว่ามีการบริหารการขายที่ดี ทำให้เงินลงทุนไม่จมไปในสินค้าคงเหลือมาก (ยิ่งต่ำยิ่งดี)

5.      อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)
อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร  =         รายได้รวม       (เท่า)
              สินทรัพย์ถาวรสุทธิ
          อัตราส่วนนี้แสดงว่า สินทรัพย์ถาวรทั้งสิ้น ที่ลงทุนไปทุก 1 บาท สามารถสร้างรายได้เท่ากับเท่าใด (ควรมากกว่าหรือเท่ากับ1 เท่า และยิ่งสูงยิ่งดี)

อัตราส่วนวัดความสามารถในการชำระหนี้ (Solvency Ratio)  แสดงถึงความเสี่ยงของเจ้าหนี้ในการให้กู้ยืมเงินและส่วนของเจ้าของในการก่อหนี้ของกิจการ ประกอบด้วย 3 อัตราส่วนที่สำคัญ ดังนี้
1.       อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (Debt to Equity Ratio – D/E Ratio)
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ  =        หนี้สินรวม       (เท่า)
  ส่วนของเจ้าของ
          อัตราส่วนนี้ทำให้ทราบว่ากิจการมีหนี้สินทั้งสิ้นเป็นกี่เท่าของส่วนของเจ้าของ สะท้อนถึงโครงสร้างเงินทุนของกิจการ  ถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่ากิจการจัดหาทุนส่วนใหญ่จากการก่อหนี้ ซึ่งทำให้เจ้าหนี้อาจมีความเสี่ยงในการให้กู้ยืมอีก  (ยิ่งต่ำยิ่งดี)

2.      อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์  (Debt to Total Asset Ratio)
อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ =        หนี้สินรวม       (เท่า)
    สินทรัพย์รวม
          อัตราส่วนนี้ทำให้ทราบว่ากิจการมีหนี้สินทั้งสิ้นเป็นกี่เท่าของสินทรัพย์รวม  สะท้อนให้เห็นโครงสร้างการจัดการสินทรัพย์มาจากการกู้ยืม  ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำแสดงว่าเจ้าหนี้สามารถได้รับการชำระหนี้เมื่อครบกำหนดได้ และมีความเสี่ยงในการให้กู้ยืมต่ำ (ยิ่งต่ำยิ่งดี)

3.      อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย   (Times Interest Earned Ratio)
อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย  =         กำไรก่อนดอกเบี้ย        (เท่า)
                                                                 ดอกเบี้ยจ่าย
      อัตราส่วนนี้ทำให้ทราบว่าใน 1 รอบระยะเวลาบัญชี  กิจการมีกำไรขากการดำเนินงานเป็นกี่เท่าของดอกเบี้ยจ่าย  ถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่ากิจการมีกำไรจากการดำเนินงานพอที่จะจ่ายชำระดอกเบี้ยที่เกิดจากการก่อหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น