มีบางคนมักพูดอยู่เสมอว่า “เมื่อเรามีชีวิตอยู่ จงใช้ชีวิตทุกวินาทีของคุณให้คุ้มค่ามากที่สุด และเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองและคนรอบข้างของเราอยู่เสมอ เพราะเมื่อเราจากพวกเค้าไป สิ่งหนึ่งที่พวกเค้าจะนึกถึงเราได้ คือ ประโยชน์และคุณค่าที่เราได้ทำไว้กับเค้านั่นเอง” ซึ่งผมก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่ออย่างนั้นมาโดยตลอด
ในปี 1993 มีคำพูดที่ว่า “การเป็นคนรวยที่สุดในสุสานไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ แต่การที่ผมได้นอนหลับบนเตียงและพูดว่า วันนี้เราได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ทิ้งไว้ให้กับโลก คือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด” นี่คือคำพูดของชายที่ชื่อ สตีฟ จ๊อบส์
จนถึงเมื่อ 5 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา โลกก็ต้องพบกับความสูญเสีย ที่ผมเชื่อว่ามีผู้คนไม่มากก็น้อยที่เสียใจมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ นั่นก็คือ “สตีฟ จ๊อบส์” ผู้ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัทที่มีมูลค่ามากมายมหาศาลในโลกนี้ ที่มีชื่อว่า “บริษัท แอปเปิล”
ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ชื่นชอบความทันสมัย และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ต่างจากทุกๆคน และผลิตภัณฑ์ของ Apple ก็สามารถพลิกโลกใบนี้ได้อย่างมหัศจรรย์ที่สุด สตีฟ จ๊อบส์ ได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ทุกๆ คนในโลก อยากได้มันมาครอบครองมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น iPod iPhone และ iPad ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นนวัตกรรมที่พลิกโฉมวงการเทคโนโลยี ทำให้เป็นต้นแบบและเกิดการลอกเลียนแบบกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด (อาทิเช่น มือถือจากประเทศจีน ไม่เว้นแม้กระทั่ง บริษัท ซัมซุง ที่ได้ถูกแอปเปิล ฟ้องร้องไปเรียบร้อยแล้ว)
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ สำหรับคนที่ไม่จำเป็นต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นลูกคนรวยมีเงินมีทอง (ทุน) มากมายในการประกอบธุรกิจ สิ่งที่เค้ามี คือความศรัทธา และความกล้าหาญในการตัดสินใจในการพลิกโลกใบนี้ด้วยสิ่งที่เค้าเชื่อ
ทีนี้ เราลองมาดูว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาของ Apple ซึ่งเกิดจาก สตีฟ จ๊อบส์ เค้ามีแรงบันดาลใจอย่างไร ในการค้นพบสิ่งที่น่าทึ่งนี้
ครับ ในวันที่เค้าจากไป มีบทความต่างๆ มากมายเหลือเกินที่ วงการต่างๆ ได้ตีพิมพ์และนำเสนอให้กับเราๆ ได้อ่านกัน สิ่งหนึ่งซึ่งผมรู้สึกประทับใจมากที่สุด นั่นก็คือ สุนทรพจน์ ที่สตีฟ จ็อบส์ ได้กล่าวไว้ในพิธีมอบปริญญาบัตร มหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด วันที่ 12 มิถุนายน 2005 ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากมายแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงได้อ่านและชมคลิปวีดีโอของเค้ามาบ้างแล้ว ผมจะขอสรุปใจความที่น่าสนใจ ดังนี้นะครับ
เรื่องแรก เกี่ยวกับการเชื่อมโยงต่อจุดแต่ละจุด
สตีฟ จ๊อบส์ เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย เพราะเค้าค้นพบว่าวิชาที่เค้าถูกบังคับให้เรียนในหลักสูตร ไม่สามารถทำให้ตัวเค้าประสบความสำเร็จได้ เค้าจึงเลือกใช้ชีวิต ด้วยการขอเลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่ตนเองสนใจเท่านั้น และจุดเริ่มต้นจุดแรกในชีวิตของเค้าคือการสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับ การออกแบบตัวอักษรแบบ Sefif และ San Serif เรียนเกี่ยวกับการจัดวางองค์ประกอบและช่องไปของอักษรต่างชนิด เรียนสิ่งที่ทำให้การจัดวางที่ดีสร้างอักษรประดิษฐ์ที่งดงาม มันสวย มีความเป็นมาอันยาวนาน เป็นศิลปะที่ลึกซึ้ง ซึ่งลำพังวิทยาศาสตร์ไม่อาจสร้างมันได้ ในตอนนั้น จ๊อบส์ ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมากประกอบอาชีพอันใดในชีวิต แต่แล้ว 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อเค้าเริ่มออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก เค้าได้นำความรู้เรื่องการประดิษฐ์ตัวอักษรเหล่านั้น มาใช้ในเครือง Mac เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก ที่มีการจัดวางอักษรที่งดงาม จนกระทั่งต่อมา Windows ก็ต้องเลียนแบบการประดิษฐ์ตัวอักษรของเค้าตามมา
เรื่องนี้สรุปได้ว่า เราไม่มีวันเชื่อมโยงเหตุการณ์ หรือจุดต่างๆ ของชีวิตเข้าด้วยกัน ด้วยการมองไปข้างหน้าในขณะนั้น แต่การย้อนกลับไปมองสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต ที่เราได้เรียนรู้และทำมาต่างหาก ที่ทำให้ทุกอย่างกระจ่างและชัดเจนขึ้น
“คุณไม่มีวันเชื่อมโยงเหตุการณ์ได้ด้วยการมองไปข้างหน้า คุณโยงเส้นต่อจุดนี้ได้ก็เพราะว่ามองมันกลับมา ดังนั้น สิ่งที่คุณต้องทำก็คือการเชื่อมั่นว่า จุดต่างๆนั้น จะเชื่อมต่อกันทางใดทางหนึ่งในอนาคต คุณต้องศรัทธาในบางสิ่ง อาจจะเป็น พลังแห่งความกล้าหาญ, โชคชะตา, ชีวิต, กรรม หรืออะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เอง ที่ทำให้ผมไม่เคยสิ้นหวัง และกล้าที่จะเผชิญความเปลี่ยนแปลงต่างๆในชีวิตต่อมา”
เรื่องที่สอง เกี่ยวกับความรัก และความสูญเสีย
บริษัท แอปเปิล ถูกก่อตั้งมาในโรงเก็บของในโรงรถ ตอน จ๊อบส์ อายุ 20 ปี ภายใน 10 ปี บริษัทแอปเปิล เติบโตจากโรงเก็บของที่มีพนักงาน 2 คน (สตีฟ จ๊อบส์ และสตีฟ วอซเนียก) เป็นบริษัทมูลค่า 2 พันล้านเหรียญ ที่มีพนักงานกว่า 4000 คน แต่หลังจากนั้น จ๊อบส์ กลับถูกไล่ออกอย่างเป็นทางการต่อสาธารณะชน จากบริษัทที่เค้าให้กำเนิดมา
มันเป็นความสูญเสีย ครั้งใหญ่สำหรับจ๊อบส์ ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเค้า แต่เค้ายังคงมีความรักในงานของเค้า จึงตัดสินใจจะเริ่มมันขึ้นมาใหม่ ปรากฏว่าการถูกไล่ออกจากแอปเปิลนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของจ๊อบส์ แรงกดดันของการประสบความสำเร็จ ถูกแทนที่ด้วยความปลอดโปร่งของการเป็นมือใหม่อีกครั้ง สามารถคิดได้อย่างอิสระ และเกิดการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต
ซึ่งมันทำให้เกิดบริษัท NeXT, บริษัท Pixar ผู้ผลิตภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องแรกของโลก ที่ชื่อว่า Toy Story ปัจจุบันเป็นบริษัทอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก และช่วงเวลานีเอง จ๊อบส์ ก็ได้ตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งคือ ลอว์เรนซ์ ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาสุดที่รักของเค้า
“บางครั้งชีวิตก็กระแทกคุณที่หัวด้วยก้อนอิฐอย่างแรง จงอย่าสูญสิ้นศรัทธา ผมมั่นใจมาตลอดว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังคงก้าวไปข้างหน้าก็คือ เพราะผมรักในสิ่งที่ผมทำ คุณเองก็ต้องค้นหาสิ่งที่คุณรัก ทั้งงานที่คุณรัก และคนที่คุณรัก งานของคุณจะเติมเต็มในส่วนใหญ่ของชีวิต และทางเดียวที่จะพอใจอย่างแท้จริงก็คือการทำสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยิ่งใหญ่ และทางเดียวที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ก็คือ คุณรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณยังหาสิ่งนั้นไม่พบ ขอให้พยายามต่อไป อย่าหยุดยั้ง ใช้ทุกส่วนของหัวใจ คุณจะรู้เมื่อคุณได้พบมัน และ, ก็เหมือนกับมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่, มันจะค่อยๆปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น จงค้นหาความฝันจนกว่าคุณจะพบมัน อย่าหยุดยั้ง”
เรื่องที่สาม เกี่ยวกับความตาย
สตีฟ จ๊อบส์ เคยตรวจพบมะเร็งที่ตับอ่อน ซึ่งแพทย์ได้บอกกับเค้าว่า ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อาจมีชีวิตอยู่เพียง 3 ถึง 6 เดือนเท่านั้น จ๊อบส์ได้ทำการตรวจรักษาอย่างละเอียดและพบว่ามะเร็งได้ลุกลามไปเพียงส่วนน้อย สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด เค้าจึงเข้ารับการผ่าตัด แล้วก็หายเป็นปกติดีในเวลาต่อมา แต่ทว่าหลังจากนั้น เค้าก็ต้องล้มป่วยลงอีกครั้ง เมื่อมะเร็งนั้นยังมีเนื้อร้ายที่ลุกลามซ่อนอยู่ จนต้องมาเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ก่อนหน้านั้นสิ่งที่จ็อบส์ ถามตัวเองในทุกเช้าคือ “หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต เราจะทำในสิ่งที่เรากำลังจะทำหรือไม่?” หากคำตอบคือ “ไม่” หลายๆครั้งต่อๆกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าชีวิตต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งแล้ว
การคิดว่าเรากำลังจะตายนั้น เป็นความคิดอันสำคัญที่สุดที่ช่วย จ๊อบส์ ในการตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่า ความคาดหวังจากคนรอบข้าง เกียรติยศศักดิ์ศรี การกลัวความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลยเมื่อต้องเผชิญกับความตาย ดังนั้นเราควรคิดถึงแต่สิ่งที่จำเป็นอย่างแท้จริงเท่านั้น
“เวลาของพวกคุณมีจำกัด ดังนั้นจงอย่ามัวเสียเวลากับการใช้ชีวิตแทนผู้อื่น อย่ามัวตกอยู่ในกฎเกณฑ์ความเชื่อที่ผู้คนงมงาย อย่าให้เสียงของคนอื่นๆดังกลบเสียงที่อยู่ในภายในของคุณ และที่สำคัญที่สุด จงกล้าที่จะเดินตามหัวใจปรารถนา เพราะลึกๆในหัวใจคุณรู้อยู่แล้วว่า อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการจะเป็น สิ่งอื่นๆนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องรอง”
และสุดท้ายสตีฟ จ๊อบส์ได้ฝากข้อความที่ว่า “Stay Hungry, Stay Foolish” (จงกระหายอยู่เสมอ และจงอยู่อย่างโง่เขลาเสมอ) นั่นก็คือ จงอย่าหยุดเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอยู่อย่างเสมอ ที่ผมมักจะบอกตัวเองและคนรอบข้างที่ผมรักเสมอ.....Thankyou verymuch My teacher and Rest in peace Steve Jobs.
Stay Hungry, Stay Foolish……..
สวัสดีครับ...ไว้เจอกันบทความหน้านะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น